เดินหน้าเต็มกำลัง: สำรวจทางรถไฟฝั่งตะวันตกของ Banetsu ด้วย SL Banetsu Monogatari
คุณยังจำรถไฟปู๊นปู๊นในวัยเด็กกันได้อยู่ไหมเอ่ย? เมื่อพูดถึงรถไฟคลาสสิกแบบนั้น อย่างแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร? เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเสียงปู๊นปู๊นที่ได้ยินจากหวูดไอน้ำของรถไฟ และภาพควันที่พวยพุ่งขึ้นมาจากปล่องที่หัวรถไฟ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่นึกอยากลองนั่งรถจักรไอน้ำปู๊นปู๊นนี้สักครั้งในชีวิต ต้องนี่เลย SL Banetsu Monogatari (SLばんえつ物語) หนึ่งในรถจักรไอน้ำไม่กี่ขบวนที่ยังคงวิ่งให้บริการในภูมิภาคตะวันออกของญี่ปุ่น!
รถจักรไอน้ำ C57 180 ขบวนนี้ที่เป็นที่รักของคนในท้องถิ่นมานับสิบปี เป็นขบวนรถที่พร้อมมอบประสบการณ์ชวนหวนถึงอดีตที่ไม่เหมือนใคร รถจักรไอน้ำขบวนนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1946 และมีชื่อเล่นว่าคิฟุจิน (貴婦人 คุณผู้หญิง) ซึ่งมีที่มาจากรูปลักษณ์ของรถที่ดูสง่ามีระดับ แม้รถจักรไอน้ำทั้งหมดจะถูกระงับการให้บริการ แต่รถจักรขบวนนี้ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้งในปี 1999 ตามเสียงเรียงร้องของผู้คน และถูกชุบชีวิตใหม่เป็นรถไฟ SL Banetsu Monogatari เพื่อสื่อถึงทางรถไฟสาย Ban-etsu West Line (磐越西線) ที่วิ่งระหว่างสถานี JR Aizu-Wakamatsu (会津若松駅) ในจังหวัดฟุคุชิมะ และสถานี JR Niitsu (新津駅) ในจังหวัดนีงาตะ
SL Banetsu Monogatari ต้องหยุดให้บริการไปหลังจากการชำรุดอย่างหนักเมื่อปี 2018 แต่ด้วยการบำรุงซ่อมแซมเป็นเวลาเกือบปีเต็ม รถจักรไอน้ำขบวนนี้ก็กลับมาให้บริการตามปกติอีกครั้งเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2019 นอกจากนี้ปี 2019 ยังเป็นปีที่ฉลองครบรอบ 20 ปีของ SL Banetsu Monogatari อีกด้วย ซึ่งฉันหวังว่ารถจักรไอน้ำขบวนนี้จะยังคงวิ่งคู่เส้นทางสายนี้ไปอีกหลายปี วันนี้ ฉันจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับความพิเศษของรถจักรไอน้ำที่ไม่เหมือนใครนี้ รวมถึงจุดท่องเที่ยวสนุกๆ ที่เราสามารถแวะเที่ยวได้ตามเส้นทางรถไฟสาย Ban-etsu West Line นี้
ผู้โดยสารต่อแถวเพื่อรอเข้าไปชมห้องเครื่องของรถไฟ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ก่อนรถไฟจะออกเดินทางจากสถานี JR Niitsu ผู้โดยสารจำนวนหนึ่งจะได้สิทธิพิเศษในการเข้าไปชมห้องเครื่องของรถจักรไอน้ำขบวนนี้! ห้องเครื่องที่ว่านี้เป็นที่ที่ถ่านหินจะถูกป้อนเข้าไปในเครื่องจักร เพื่อให้มีพลังงานไอน้ำมากพอสำหรับขับเคลื่อนรถจักรไอน้ำได้ แน่นอนว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากๆ และเป็นกิจกรรมที่เปิดคิวสำหรับผู้โดยสารที่มาก่อนเป็นหลัก ชนิดว่าใครช้าคนนั้นอด รถจักรไอน้ำจะออกวิ่ง ณ เวลา 10.05 น. และรูปนี้ถูกถ่ายเมื่อเวลา 9.47 น. แต่ถึงตอนนั้นคิวเข้าชมก็เต็มแล้วเรียบร้อย ฉันเลยไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชมห้องเครื่อง
ภายในห้องโดยสารของ SL Banetsu Monogatari
ภายในตู้รถที่นั่งปกติ เปิดสำหรับผู้โดยสารที่จองที่นั่งเท่านั้น (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ด้วยจำนวนตู้รถที่มีมากถึงเจ็ดคัน SL Banetsu Monogatari จึงเป็นรถไฟขบวนหนึ่งที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากที่สุดในบรรดา Joyful Train ทั้งหมด โดยตู้รถทั้งเจ็ดคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 346 คน
ตู้รถที่ 2, 3, 5 และ 6 เป็นตู้รถที่ให้บริการที่นั่งแบบจองทั่วไป โดยเป็นที่นั่งแบบพิเศษ (Box Seat) ซึ่งเบาะนั่งสี่ที่จะนั่งหันหน้าเข้าหากัน ตัวเบาะนั่งถูกบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงและมีพนักวางแขนทำจากไม้ พร้อมด้วยผนังห้องโดยสารและตะขอแขวนของที่ชวนให้นึกถึงสมัยไทโช (1912-1926) ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของญี่ปุ่น
การแข่งขันเป่ายิ้งฉุบบน SL Banetsu Monogatari (เครดิตรูปภาพ: JR East)
บนขบวนรถจะมีพนักงานมาจัดกิจกรรมสนุกๆ เช่น Janken Taikai (じゃんけん大会 การแข่งขันเป่ายิ้งฉุบ) วิธีร่วมสนุกก็แสนง่าย เพียงชูมือออกค้อน กระดาษ หรือกรรไกรเท่านั้น ผู้ชนะในแต่ละรอบก็จะได้ผ่านเข้ารอบต่อไปจนเหลือผู้ชนะเพียงแค่คนเดียว ผู้ชนะที่เหลือเป็นคนสุดท้ายจะได้รางวัลเป็นของที่ระลึกสุดพิเศษ! น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้เป่ายิ้งฉุบเก่งนัก เลยต้องตกไปตั้งแต่รอบแรก
ภายในตู้รถ Green Car (ตู้ที่ 7) ของ SL Banetsu Monogatari (เครดิตรูปภาพ: JR East)
SL Banetsu Monogatari เป็นรถจักรไอน้ำขบวนเดียวที่มีเบาะนั่งในตู้รถ Green Car โดยตู้รถที่ 7 จะเป็นตู้รถ Green Car ซึ่งมีที่นั่งแต่ละแถวเป็นแบบ 2+1 ที่นั่งได้สบายๆ และยังมีห้องชมวิวที่เห็นวิวได้รอบทิศอยู่ท้ายตู้รถด้วย และด้วยความที่อยู่ท้ายขบวนรถนี่เอง เราจึงสามารถเห็นวิวด้านนอกได้โดยรอบผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่สูงตั้งแต่พื้นจนถึงเพดานรถ
ห้องเด็กเล่น Okojo สำหรับเด็กเล็ก (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ห้อง Okojo Observation สำหรับชมวิว (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ตู้รถที่ 1 เป็นตู้รถ Okojo Observation ที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนด้วยกัน ได้แก่ห้อง Okojo ที่เป็นห้องเล่นสำหรับเด็กๆ และห้องชมวิว Okojo Observation ที่สามารถนั่งได้ตามอิสระเพื่อชมวิวที่ผ่านไปมานอกหน้าต่างบานกว้างได้
ภายในตู้รถ Okojo Observation (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ทั้งห้อง Okojo ถูกตกแต่งด้วยรูป Okojo (おこじょ เออร์มิน) สัตว์ตัวเล็กที่เป็นญาติกับตัววีเซิล ซึ่ง Okojo นี้ได้กลายเป็นเหมือนตัวมาสคอตของ SL Banetsu Monogatari และคุณจะเห็นรูปตกแต่งตัว Okojo ได้ทั่วทั้งรถไฟ ในแผ่นพับ และป้ายสถานีรถไฟ
เคาน์เตอร์จำหน่ายของ SL Chaya (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ถ้าคุณกำลังอยากหาอะไรทาน เคาน์เตอร์ SL Chaya (SL 茶屋) ในตู้รถที่ 5 ก็มีเครื่องดื่ม ขนม และของที่ระลึกของ SL Banetsu Monogatari อีกมากมาย และที่พลาดไม่ได้สำหรับการนั่งรถไฟ และเป็นหนึ่งในความสนุกของการนั่งรถไฟที่ฉันชอบที่สุด ก็คือการทานเอกิเบน (駅弁 ข้าวกล่องรถไฟ) ที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น
ภายในตู้รถชมวิว (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
สำหรับตู้รถที่ 4 เป็นตู้รถชมวิว ที่นี่ คุณสามารถนั่งลงบนม้านั่งที่หันเข้าหาหน้าต่างเพื่อมองวิวข้างนอกได้ และที่ตู้รถนี้ยังมีตู้ไปรษณีย์ให้เราหย่อนส่งไปรษณีย์จริงๆ จากบนรถไฟได้อีกด้วย
วิวที่เห็นได้จากหน้าต่างตู้รถชมวิว (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ทางรถไฟสาย Ban-etsu West Line เป็นทางรถไฟที่ทอดตัวไปตามภูเขาและแม่น้ำที่สวยงาม ซึ่งวิวธรรมชาตินี้เป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของรถไฟขบวนนี้!
ภาพวิวในวันฝนพรำ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
แม้ว่าตอนที่ฉันเดินทางบนรถไฟจะมีฝนตก ทำให้วิวหน้าต่างมีน้ำฝนบังจนเห็นไม่ค่อยชัด แต่ภาพทิวทัศน์ที่ได้เห็นลางๆ ก็ยังดูสวยงามในแบบของมันอยู่ ตอนที่ฉันขึ้นรถไฟขบวนนี้เป็นตอนเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงใกล้ฤดูใบไม้ร่วง ภูเขาที่เห็นด้านนอกจึงเริ่มมีสีส้มของใบไม้เปลี่ยนสีแต่งแต้มอยู่บ้างแล้ว
แวะพักที่สถานี Tsugawa
Okojiro และบ้าน Okojiro (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
SL Banetsu Monogatari จะหยุดแวะที่สถานี JR Tsugawa (津川駅) เป็นเวลา 15 นาที ที่นี่คุณสามารถแวะดูบ้าน Okojiro (オコジロウの家 Okojirо̄ no ie) บนชานชลาได้ ที่หน้าบ้าน Okojiro จะมีรูปปั้น Okojiro ตัวมาสคอต Okojo ตั้งอยู่ โดยข้างในบ้าน Okojiro เป็นห้องรับรองที่ตกแต่งให้ดูเหมือนบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง ซึ่งผู้โดยสารสามารถเข้าไปนั่งพักรอรถไฟได้อย่างสบายๆ
SL Banetsu Monogatari ที่กำลังได้รับการตรวจเช็คที่สถานี Tsugawa (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
รถจักรไอน้ำเป็นรถไฟที่ต้องใช้น้ำและถ่านหินปริมาณมากในการขับเคลื่อน ในการวิ่งไป-กลับระหว่าง Niitsu และ Aizu-Wakamatsu แต่ละครั้ง รถ SL Banetsu Monogatari ใช้น้ำมากถึง 26 ตันและถ่านหิน 5 ตันทีเดียว! และเพราะรถไฟไม่สามารถบรรทุกน้ำ 26 ตันตลอดการเดินทางได้ รถไฟจึงต้องแวะพักเติมน้ำที่สถานี Tsugawa ทั้งในเที่ยวขาเข้าและขาออก
ที่สถานี Tsugawa เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงจะเข้ามาตรวจเช็ครถไฟและเติมน้ำสำหรับใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักร เป็นโอกาสหายากที่เราจะได้ชมการทำงานเบื้องหลังในการดูแลรักษารถจักรไอน้ำอย่างใกล้ชิด รับรองว่าถูกใจแฟนคลับรถจักรไอน้ำแน่นอน
แม้ภาพรถจักรไอน้ำจะเป็นภาพที่ชวนตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กๆ และเป็นภาพที่ชวนให้คิดถึงอดีตสำหรับคุณตาคุณยาย แต่รถจักรไอน้ำแบบนี้ต่างมีอายุที่เก่ามากพอตัวและต้องได้รับการดูแลและการบำรุงรักษาอย่างมาก แต่เพราะแบบนี้เอง รถจักรไอน้ำจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าปาฏิหาริย์ที่ยังวิ่งอยู่ (走る奇跡 hashiru kiseki)
ต้องขอบคุณความทุ่มเทในการดูแลและความชำนาญของทีมงานที่ทำให้ทุกวันนี้รถจักรไอน้ำยังคงวิ่งอยู่ได้ เมื่อคุณเห็นทีมงานเข้ามาดูแลรถไฟแบบนี้ ลองบอกว่า โอสึกาเระซามะเดส (お疲れ様です ขอบคุณที่ทำงานหนัก) ไปยังทีมงานช่างดูนะคะ ฉันเชื่อว่าทีมงานได้ยินก็คงมีกำลังใจมากขึ้นแน่นอน!
ถ่ายรูปคู่กับ SL Banetsu Monogatari (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
พนักงานรถไฟเองก็พร้อมเป็นผู้ช่วยเราในการถ่ายรูปที่ระลึกกับ SL Banetsu Monogatari โดยมีพร๊อพให้เรา ทั้งหมวกคนขับรถไฟ และบอร์ดที่เขียนวันที่ไว้ให้เราถือถ่ายรูป
ตำนานไฟจิ้งจอกแห่งสึกาวะ
เทศกาล Kitsune no Yomeiri Gyoretsu (เครดิตรูปภาพ: 新潟県観光協会)
เมืองสึกาวะเป็นเมืองที่มีชื่อในฐานะเมืองต้นกำเนิดตำนานคิตสึเนะบิ (狐火 ไฟจิ้งจอก) และว่ากันว่ามีสุนัขจิ้งจอกจำนวนมากอาศัยอยู่ ณ เขาคิริน (麒麟山 Kirinzan) ที่อยู่ใกล้กับเมือง ในตำนานญี่ปุ่นนั้นมีความเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกมีพลังที่สร้างลูกไฟขึ้นมาได้ ซึ่งคิตสึเนะบิมีความหมายตรงตัวว่า “ไฟจิ้งจอก” และถูกใช้เรียกแสงปริศนาที่พบเห็นได้บนภูเขาในยามค่ำคืน
คนญี่ปุ่นในอดีตมีการจัดพิธีแต่งงานในเวลากลางคืน และเมื่อมีคนพบเห็นไฟจิ้งจอกจำนวนมากในเวลาค่ำคืน คนญี่ปุ่นจะเชื่อว่ามีขบวนเจ้าสาวของจิ้งจอก (狐の嫁入り行列 kitsune no yomeiri gyо̄retsu) ผ่านไป เนื่องจากแสงจำนวนมากที่ลอยไปมาท่ามกลางความมืดดูเหมือนโคมไฟที่ถูกใช้ในพิธีแต่งงานนั่นเอง
แม้คำว่า “ไฟจิ้งจอก” อาจจะฟังดูเป็นลางไม่ดี แต่คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าการได้เห็นขบวนเจ้าสาวของจิ้งจอกเป็นลางบอกถึงพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงถือว่าไฟจิ้งจองเป็นลางดีมาตั้งแต่อดีต นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าว่าสึกาวะเป็นสถานที่ที่จะได้เห็นไฟจิ้งจอกได้มากที่สุดในโลกอีกด้วย
เทศกาลหนึ่งของสึกาวะที่จะจัดในทุกวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปีคือ Kitsune no Yomeiri Gyoretsu (狐の嫁入り行列 ขบวนเจ้าสาวของจิ้งจอก) ที่อิงมาจากตำนานไฟจิ้งจอกนั่นเอง
Kitsune no Yomeiri Yashiki (เครดิตรูปภาพ: Aga-machi Tourism Association)
และเมื่อเดินจากสถานี Tsugawa ไป 20 นาที เราก็จะมาถึง Kitsune no Yomeiri Yashiki (狐の嫁入屋敷) ที่นี่ คุณสามารถสัมผัสบรรยากาศเทศกาล Kitsune no Yomeiri Gyoretsu ได้ผ่านวิดีโอและกิจกรรมอย่างการแต่งหน้าเป็นธีมจิ้งจอก การทำหน้ากากจิ้งจอก หรืองานฝีมือจากฟางและไผ่เป็นต้น
หากมองจาก Kitsune no Yomeiri Yashiki จะได้เห็นวิวของเขาคิรินและภาพธรรมชาติสวยงาม และบางวันอาจมีโอกาสได้เห็น SL Banetsu Monogatari วิ่งผ่านไปอีกด้วย และรู้หรือไม่? นอกจากการนั่งรถไฟเที่ยวแล้ว แฟนคลับของ SL Banetsu Monogatari ยังนิยมถ่ายรูป SL Banetsu Monogatari โดยมีธรรมชาติสวยงามของท้องถิ่นเป็นฉากหลังอีกด้วย
ดาวเด่นในใจนักถ่ายรูปรถไฟ
SL Banetsu Monogatari ในฤดูใบไม้ผลิ (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ทางรถไฟสาย Ban-etsu West Line เป็นทางรถไฟที่มีชื่อเล่นว่า “ทางรถไฟแห่งพงไพร สายธาร และความโรแมนติก (森と水とロマンの鉄道 Mori to mizu to roman no tetsudо̄)” และเป็นทางรถไฟที่เราสามารถเพลิดเพลินไปกับสีสันของแต่ละฤดูกาลได้ ภาพฉากธรรมชาติที่สวยงามตามทางรถไฟสาย Ban-etsu West Line นี่เองที่เป็นจุดชมรถไฟและถ่ายรูปรถไฟยอดนิยม
SL Banetsu Monogatari พร้อมดอกซากุระ (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูยอดนิยมสำหรับการถ่ายรูป SL Banetsu Monogatari เพราะเราจะได้ภาพดอกไม้สีสันสดใสตัดกับสีดำเข้มของขบวนรถไฟ
SL Banetsu Monogatari ขณะกำลังข้ามสะพาน (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ภาพรถไฟขณะกำลังวิ่งข้ามสะพานโดยมีภูเขาเป็นฉากหลังก็เป็นอีกมุมฮอตฮิตเหมือนกัน และภาพจะดูดีขึ้นไปอีกเมื่อได้ภาพจังหวะที่ไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากหัวรถจักรด้วย และถ้าพูดถึงสะพานที่เป็นจุดถ่ายรูป SL Banetsu Monogatari อันดับหนึ่งก็ต้องสะพานข้ามแม่น้ำ Ichinoto (一ノ戸川橋梁 Ichinoto-gawa kyо̄ryо̄)
นอกจากนี้ ทางรถไฟสาย Ban-etsu West Line ยังเป็นทางรถไฟที่มีสถานที่ให้ชมและกิจกรรมให้ทำอีกมากมาย ซึ่งการท่องทางรถไฟสายนี้จะบรรยากาศดีขึ้นไปอีกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จริงๆ แล้วฉันมีแพลนที่จะมาเที่ยวที่นี่อีกเมื่อต้นปี แต่ก็ต้องยกเลิกทริปไปอย่างน่าเสียดาย ถึงอย่างนั้น ฉันมีสถานที่น่าเที่ยวตามทางรถไฟสายนี้มาแนะนำค่ะ
โกะเซ็น (五泉)
Gosen City Tulip Festival (เครดิตรูปภาพ: 新潟県観光協会)
โกะเซ็นเป็นเมืองในจังหวัดนีงาตะที่โด่งดังเรื่องดอกทิวลิป ซึ่งดอกทิวลิปเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดนีงาตะ และเป็นจังหวัดแรกที่ทิวลิปออกดอกในญี่ปุ่น ด้วยดินที่อุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศที่เหมาะสม จังหวัดนีงาตะจึงเป็นจังหวัดที่ปลูกดอกทิวลิปได้เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น
ทุกฤดูใบไม้ผลิ เราสามารถสนุกกับเทศกาลดอกทิวลิปได้ทั่วทั้งจังหวัดนีงาตะ ซึ่งเทศกาลดอกทิวลิปที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อที่สุดคือ Gosen City Tulip Festival (五泉市チューリップ祭り Gosen-shi chūrippu matsuri) คุณสามารถเดินเล่นท่ามกลางดอกทิวลิปกว่า 1.5 ล้านดอกได้ในช่วงกลางจนถึงสิ้นเดือนเมษายน โดยนอกจากดอกไม้แล้ว เรายังสามารถสนุกกับบรรยากาศของเทศกาลไปกับบรรดาร้านอาหารและเครื่องดื่มได้ คุณสามารถมาร่วมงาน Gosen City Tulip Festival ได้เพียงนั่งรถแท๊กซี่ 10 นาทีจากสถานี JR Gosen (五泉駅)
SL Banetsu Monogatari ในฤดูหนาว ณ เมืองโกะเซ็น (เครดิตรูปภาพ: 新潟県観光協会)
นอกจากดอกทิวลิปแล้ว เมืองโกะเซ็นยังมีทำเลดีๆ สำหรับถ่ายรูป SL Banetsu Monogatari อีกด้วยนะคะ
คิตาคาตะ (喜多方)
ดอกชิดาเระซากุระตาม Nicchu Line Memorial Cycling Pedestrians’ Path (เครดิตรูปภาพ: 福島県観光物産交流協会)
คิตาคาตะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบชนบทและเต็มไปด้วยถนนเส้นเล็กและอาคารโรงเก็บของเก่า (倉 kura) ที่เคยถูกใช้เก็บสาเก มิโสะ และซอสโชหยุไว้ จุดถ่ายรูปรถไฟยอดนิยมแห่งหนึ่งของที่นี่คือบริเวณทางจักรยาน Nicchu Line Memorial Cycling Pedestrians’ Path (日中線記念自転車歩行者道のしだれ桜並木Nicchūsen kinen jitensha hokoshadо̄ no shidare-zakura namiki) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Nicchūsen shidare-zakura namiki (日中線しだれ桜並木) โดยตามเส้นทางนี้จะมีบรรดาต้นชิดาเระซากุระเรียงรายอยู่
รถไฟ SL ที่จัดแสดงอยู่ท่ามกลางดอกซากุระ (เครดิตรูปภาพ: 福島県観光物産交流協会)
ทางรถไฟเก่าของสาย Nicchu Railway ถูกเปลี่ยนให้เป็นทางยาว 3 กิโลเมตรสำหรับนักปั่นจักรยานหรือคนทั่วไปเดินสัญจร โดยมีต้นชิดาเระซากุระ 1,000 ต้นเรียงรายตามข้างทาง ชิดาเระซากุระต่างจากซากุระพันธุ์โซเมโยชิเนะ (ソメイヨシノ) ที่เห็นได้ทั่วไปตรงที่ชิดาเระซากุระมีกิ่งที่ห้อยย้อยลงมาและมีดอกที่มีสีชมพูเข้มกว่า นอกจากนี้ ข้างทางยังมีรถไฟ SL ที่ปลดทำการแล้วจัดแสดงอยู่ ทำให้เราสามารถถ่ายรูปสวยๆ โดยมีซากุระเป็นฉากหลังได้
คุณสามารถเดินมาที่ Nicchu Line Memorial Cycling Pedestrians’ Path ได้โดยใช้เวลา 20 นาทีจากสถานี JR Kitakata สำหรับฤดูกาลชมซากุระจะเป็นช่วงกลางถึงสิ้นเดือนเมษายน
ราเมงของเมืองคิตาคาตะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ถ้าพูดถึงคิตาคาตะแล้ว คนญี่ปุ่นคงจะนึกถึงราเมงเป็นอย่างแรก เพราะคิตาคาตะเป็นหนึ่งในสามเมืองที่มีราเมงที่อร่อยที่สุดนอกเหนือจากเมืองซัปโปโรของฮอกไกโดและเมืองฮากาตะของฟุคุโอกะ แต่ความแตกต่างคือคิตาคาตะเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 50,000 คนเท่านั้น ไม่เหมือนอีกสองเมืองที่ต่างเป็นเมืองใหญ่ของจังหวัด ถึงอย่างนั้น เมืองคิตาคาตะเป็นเมืองที่มีร้านราเมงกว่า 100 ร้านเลยทีเดียว!
ด้วยซอสโชหยุที่มีประวัติการผลิตมานานในพื้นที่ ราเมงในคิตาคาตะจึงมีซุปโชหยุเป็นวัตถุดิบหลัก รวมถึงซาร์ดีน (煮干し niboshi) กระดูกหมู (豚骨 tonkotsu) และผักเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับน้ำซุป ตัวเส้นของราเมงเป็นเส้นที่หนาและนุ่มเป็นพิเศษกว่าราเมงอื่นๆ
ไอสึ-วากามัตสึ (会津若松)
ดอกซากุระที่ปราสาทสึรุงะ (เครดิตรูปภาพ: 福島県観光物産交流協会)
ไอสึ-วากามัตสึเคยเป็นเมืองแห่งซามูไรที่ถูกสร้างขึ้นล้อมรอบปราสาทสึรุงะ (鶴ヶ城 Tsurugajо̄) ปราสาทที่มีกระเบื้องหลังคาสีแดงไม่เหมือนประสาทอื่นในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระยอดนิยมของไอสึ-วากามัตสึ ในสวนของปราสาทมีต้นซากุระเกือบ 1,000 ต้นที่บานในช่วงกลางจนถึงสิ้นเดือนเมษายน และที่พิเศษคือจะมีการเปิดไฟให้ชมซากุระยามค่ำคืนได้ในช่วงที่ซากุระบานเต็มที่ (満開 mankai) คุณสามารถเดินทางไปปราสาทสึรุงะได้เพียงนั่งรถบัส 20 นาทีจากสถานี Aizu-Wakamatsu
ถ้าคุณอยากไปเที่ยวแถวไอสึ-วากามัตสึ สามารถอ่านอีกบทความหนึ่งของฉันเกี่ยวกับการเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำ No. Tadami River Bridge ในไอสึ-วากามัตสึได้ โดยในนั้นจะมีลิสต์สถานที่และกิจกรรมอื่นๆ ที่สามารถสนุกได้ในพื้นที่นี้
แถมอีกที่นึง: เมืองนีงาตะ (新潟市)
แม้ว่า SL Banetsu Monogatari จะไม่ได้วิ่งผ่านสถานี JR Niigata (新潟駅) แต่คุณอาจจะได้แวะที่นั่นถ้าคุณนั่ง SL Banetsu Monogatari มาจากสถานี Niitsu หรือกำลังนั่งไปสถานี Niitsu ซึ่งสถานี Niitsu อยู่ห่างจากสถานี Niigata ไปประมาณ 20 นาที แม้ไม่ได้ค้างคืน อย่างน้อยก็ขอแนะนำให้ลองแวะที่นีงาตะเพื่อหาอะไรอร่อยๆ ทานหรือดื่มสักเล็กน้อยนะคะ
ผลิตภัณฑ์จากข้าวของนีงาตะ (เครดิตรูปภาพ: 新潟県観光協会)
รู้หรือไม่? นีงาตะเป็นผู้ผลิตสาเก (酒 สุราที่หมักจากข้าว) อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น โดยมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งผลิตสาเกและข้าวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น คุณภาพข้าวที่ดีนี้มาจากหิมะปริมาณมากที่ตกบนภูเขาในนีงาตะอยู่ทุกปี ซึ่งน้ำเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสาเกและข้าว ดังนั้น น้ำสะอาดที่ได้จากหิมะจึงเป็นน้ำคุณภาพเยี่ยมที่หล่อเลี้ยงนาข้าวให้โตได้ดี และเพราะมีข้าวคุณภาพดีนี่เอง นีงาตะจึงมีผลิตภัณฑ์จากข้าวอย่างสาเกและเซมเบ้ (煎餅 ข้าวเกรียบ) ที่อร่อยอย่างเหลือเชื่อ
คิวามิซูชิ (เครดิตรูปภาพ: 新潟県観光協会)
นอกจากนี้ นีงาตะยังเป็นจังหวัดที่อยู่ติดทะเล ที่นี่จึงเป็นแหล่งจับปลาคุณภาพดีอีกด้วย และเมื่อมีทั้งข้าวอร่อยและปลารสเลิศ ซูชิจึงเป็นเมนูห้ามพลาดของนีงาตะ โดยมีเมนูซูชิพิเศษคือคิวามิซูชิ (極み寿司) ที่มีซูชิ 10 ชิ้นที่ใช้วัตถุดิบพรีเมี่ยมอย่างหอยเม่นทะเล ทูน่าเนื้อมัน ไข่ปลาแซลมอน และปลาในท้องถิ่นหรือปลาตามฤดูกาล
SL Banetsu Monogatari ในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหนึ่งที่อยากนั่งรถจักรไอน้ำ หรืออยากถ่ายรูปสวยๆ ของรถไฟขบวนนี้ ทางรถไฟสาย JR Ban-etsu West Line เป็นทางรถไฟที่มีภาพมุมสวยๆ ให้คนรักรถไฟได้ชมตลอดเส้นทาง ทริปญี่ปุ่นครั้งหน้า ลองเดินทางไปตามทางรถไฟแห่งพงไพร สายธาร และความโรแมนติกดูนะคะ
การท่องเที่ยวไปกับ SL Banetsu Monogatari
จะขึ้น SL Banetsu Monogatari ได้อย่างไร?
SL Banetsu Monogatari เป็นรถไฟที่วิ่งไป-กลับเพียงรอบเดียวต่อวัน และวิ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการของญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยวิ่งตามทางรถไฟสาย JR Ban-etsu West Line ระหว่างสถานี JR Aizu-Wakamatsu (会津若松駅) ในจังหวัดฟุคุชิมะ และสถานี JR Niitsu (新津駅) ในจังหวัดนีงาตะ คุณสามารถเช็คตารางเวลาและกำหนดการเดินรถได้ที่นี่ และเนื่องจากที่นั่งทั้งหมดบนรถเปิดไว้สำหรับจองเท่านั้น คุณจึงต้องจองที่นั่งบน SL Banetsu Monogatari โดยจองได้ที่นี่
SL Banetsu Monogatari ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ (เครดิตรูปภาพ: JR East)
คุณสามารถขึ้นรถไฟ SL Banetsu Monogatari ได้ที่สถานี JR Niitsu โดยเดินทางจากสถานี JR Niigata (新潟駅) ใช้เวลา 20 นาทีด้วยรถไฟ สาย JR Shin-etsu Main Line (信越本線) และจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจากโตเกียว หรือถ้าหากว่าต้องการเริ่มต้นทริปจากอีกฝั่ง ก็ต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี JR Aizu-Wakamatsu โดยเดินทางจากสถานี JR Koriyama (郡山駅) ใช้เวลา 65 นาทีด้วยรถไฟ JR Ban-etsu West Line และจะใช้เวลาประมาณ 80 นาทีจากโตเกียว
ตั๋ว Rail Pass ราคาประหยัด
ถ้าคุณกำลังแพลนทริปนั่ง SL Banetsu Monogatari หรือทริปท่องเที่ยวจังหวัดนีงาตะและฟุคุชิมะ ขอแนะนำ JR East Pass โดย JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) และ JR EAST PASS (Tohoku area) เป็นตั๋วที่มีส่วนลดสุดคุ้ม และที่พิเศษกว่าตั๋ว Pass อื่นๆ คือผู้ถือพาสปอร์ตต่างประเทศสามารถใช้ตั๋วทั้งสองนี้ได้ รวมถึงชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในญี่ปุ่นด้วย! นอกจากนี้ตั๋วทั้งสองยังสามารถใช้ขึ้นรถไฟสายต่างๆ ของ JR East (รวมถึงรถไฟชินกันเซ็นและ Joyful Train อย่าง SL Banetsu Monogatari) ได้อย่างไม่จำกัดภายในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมตลอดระยะเวลา 5 วันติดกันอีกด้วย
ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) และ JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) แบบใหม่ (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) มีราคาเพียง 20,000 เยนเท่านั้นซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าค่าเดินทางไปกลับระหว่างโตเกียวและไอสึ-วากามัตสึ (~20,000 เยน) ในขณะที่ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) มีราคาเพียง 18,000 เยนเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าค่าเดินทางไปกลับระหว่างโตเกียวและนีงาตะ (~21,000 เยน)
ตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 เป็นต้นไปจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ตั๋ว Pass เป็นตั๋วที่สามารถใช้เครื่องอ่านได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ตั๋วสามารถแตะตั๋วผ่านประตูอัตโนมัติได้ ผู้ถือพาสปอร์ตต่างประเทศที่พำนักในญี่ปุ่นเองก็มีสิทธิ์ในการใช้ตั๋วนี้เช่นกัน
หมายเหตุ: ความเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดและราคาของตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) และ JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2021 เป็นต้นไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
เครดิตรูปภาพส่วนหัวบทความ: JR East / Carissa Loh
Translated by ANNGLE