Rail Travel

พร้อมแล้วก็ไปกันเลย! ตะลอนทั่วอาคิตะไปกับ Akita Shinkansen

พร้อมแล้วก็ไปกันเลย! ตะลอนทั่วอาคิตะไปกับ Akita Shinkansen

อัปเดตเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2023
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 04 มกราคม 2023

 

คุณเคยนั่งรถไฟ Akita Shinkansen (秋田新幹線) หรือเปล่าเอ่ย? ถึงจะยังไม่เคยได้นั่ง แต่คุณก็อาจจะเคยเห็นขบวนรถไฟ Komachi (こまち) ซีรีส์ E6 สีแดงโดดเด่นวิ่งในแถบโตเกียวและญี่ปุ่นตะวันออกมาก่อน รถไฟ Akita Shinkansen เริ่มวิ่งให้บริการในปี 1997 โดยเชื่อมโตเกียวกับจังหวัดอาคิตะ (秋田県 Akita-ken) ทางตอนเหนือของโทโฮคุ ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีหิมะตกมากที่สุดในญี่ปุ่น

 

คิดเหมือนกันหรือเปล่าว่ารถไฟหัวกระสุน Komachi รูปร่างเพรียวช่างสวยงามเหลือเกิน รู้ไหมว่าชื่อ “Komachi” มาจาก โอโนะ โนะ โคมาจิ (小野小町) นักกวียุคโบราณที่เลื่องชื่อเรื่องความงามของเธอ โดยว่ากันว่าเธอเกิดที่จังหวัดอาคิตะ จังหวัดอาคิตะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจังหวัดรวมสาวงาม และทุกวันนี้คำว่า “โคมาจิ” ก็ถูกใช้เรียกหญิงงามด้วย

 

แผนที่เส้นทางรถไฟ Akita Shinkansen (เครดิตภาพ: JR East)

 

รถไฟ Akita Shinkansen วิ่งบนรางรถไฟ Tohoku Shinkansen ระหว่างสถานี Tokyo และสถานี Morioka และวิ่งบนรางที่สร้างขึ้นสำหรับรถไฟสายท้องถิ่นระหว่างสถานี Morioka และสถานี Akita เนื่องจากรถไฟสายท้องถิ่นก็ใช้รางเดียวกันนี้ในเส้นทางช่วงระหว่างสถานี Morioka และสถานี Ōmagari ทำให้ขบวนรถไฟ Akita Shinkansen มีลักษณะแคบกว่าปกติ (ขนาดเท่ากับรถไฟท้องถิ่น) เพื่อให้สามารถวิ่งบนรางนี้ได้ และด้วยขนาดที่แคบกว่ารถไฟชินกันเซ็นขบวนอื่นนี่เองที่ทำให้  Akita Shinkansen ได้ชื่อว่าเป็น “มินิชินกันเซ็น” หากคุณขึ้นรถไฟนี้เพื่อเดินทางระหว่างโตเกียวและโมริโอกะ คุณจะสังเกตว่าคุณต้องปีนบันไดเพื่อขึ้นรถไฟ!

 

รถไฟ Komachi ซีรีส์ E6 และรถไฟ Hayabusa ซีรีส์ E5 (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

เมื่อออกจากสถานีโตเกียว รถไฟ Komachi ซีรีส์ E6 มักจะวิ่งคู่กับรถไฟ Hayabusa ซีรีส์ E5 และแยกขบวนที่สถานี Morioka จากจุดนั้น รถไฟ E5 จะวิ่งต่อไปทางเหนือมุ่งสู่อาโอโมริหรือฮอกไกโด ในขณะที่รถไฟ E6 มุ่งหน้าสู่อาคิตะ

 

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2022 Akita Shinkansen เฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของการปฏิบัติการไปยัง Akita มาดูการผจญภัยอันน่าทึ่งที่คุณสามารถสัมผัสได้รอบอาคิตะด้วยการนั่งรถไฟอาคิตะชินคันเซ็นจากโตเกียวกันเถอะ!

 

① สถานี Shizukuishi (雫石駅)

ที่ตั้งของภูเขาอิวาเตะที่งดงามราวกับภาพวาด

ชานชาลาสถานี Shizukuishi ในฤดูหนาว (เครดิตภาพ: photoAC)

 

จุดแรกที่ Akita Shinkansen จะแวะจอดหลังออกจากสถานี Morioka คือสถานี Shizukuishi (雫石駅) ที่เมืองชิสุคุอิชิ (雫市町 Shizukuishi-machi) จังหวัดอิวาเตะซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ติดกับจังหวัดอาคิตะอีกที เมืองชิสุคุอิชิอยู่ทางใต้ของภูเขาอิวาเตะ (岩手山 Iwate-san) ซึ่งเป็นภูเขาที่สำคัญที่สุดของจังหวัดอิวาเตะ และเป็นพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่สกีรีสอร์ทหลายแห่งจะคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ

 

ฟาร์มโคอิวาอิ

ฟาร์มโคอิวาอิและภูเขาอิวาเตะในฉากหลัง (เครดิตภาพ: KOIWAI FARM, LTD.)

 

นักท่องเที่ยวสามารถไปเยือนฟาร์มโคอิวาอิ (小岩井農場 Koiwai Nōjō) เพื่อชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาอิวาเตะได้ตลอดทั้งปี ฟาร์มโคอิวาอิเป็นฟาร์มเอกชนกว้าง 3,000 เฮกตาร์ที่ตั้งอยู่ในทำเลวิวสวยบริเวณเชิงเขาอิวาเตะ ฟาร์มแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์นมที่อร่อย รวมถึงทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด

 

แม้ว่าฟาร์มแห่งนี้จะเป็นที่รู้จักมากที่สุดจากทิวทัศน์ของต้นซากุระโดดเดี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นวัวกำลังเล็มหญ้าบนผืนดินเขียวขจี โดยมีคอกวัวสีแดงเป็นฉากหลังตัดกับภูเขาอิวาเตะก็เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและชวนผ่อนคลายเช่นกัน

 

การเดินทาง:

ฟาร์ม Koiwai อยู่ห่างจากสถานี Shizukuishi 10 นาทีหากเดินทางโดยรถยนต์/แท็กซี่ หรือจะเดินทางไปยังฟาร์มแห่งนี้ด้วยการนั่งรถบัส 35 นาทีจากสถานี Morioka

 

② สถานี Tazawako (田沢湖駅)

ทางเข้าสู่ทิวเขาอันสวยงามและออนเซ็นที่ซ่อนอยู่

 

ภายในสถานี Tazawako (เครดิตภาพ: 掬茶 / CC BY-SA 3.0)

 

ถัดจากสถานี Shizukuishi คือสถานี Tazawako (田沢湖駅) ซึ่งเป็นสถานีแรกบนทางรถไฟที่อยู่ในตัวจังหวัดอาคิตะ สถานีนี้ตั้งอยู่ในเมืองเซ็มโบคุ (仙北市 Senboku-shi) ซึ่งเป็นประตูสู่ทิวเขาอันยิ่งใหญ่และออนเซ็นลับที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูร่างกายของอาคิตะ

 

ทะเลสาบทาซาวะ

รูปปั้นทัตสึโกะริมฝั่งด้านตะวันตกของทะเลสาบทาซาวะ (เครดิตภาพ: จังหวัดอาคิตะ)

 

สถานี Tazawako ถูกตั้งชื่อตามทะเลสาบทาซาวะ (田沢湖 Tazawa-ko) ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่มีความลึก 423 เมตร และจัดเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดของญี่ปุ่น ทะเลสาบแห่งนี้จะไม่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว และคงไว้ซึ่งสีฟ้าสวยชวนหลงใหลตลอดทั้งปี

 

ที่ริมทะเลสาบฝั่งตะวันตก นักท่องเที่ยวจะได้ชมอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของทะเลสาบทาซาวะ นั่นคือรูปปั้นทัตสึโกะ (Tatsuko) ทองคำ ตำนานเล่าว่าทัตสึโกะเป็นหญิงสาวชาวบ้านละแวกนี้ที่อธิษฐานขอให้เธอคงความงามไว้ยั่งยืนตลอดกาล แต่กลับถูกสาปให้กลายเป็นมังกรและจมลงสู่ก้นทะเลสาบนี้ากจุดนี้คุณสามารถมองเห็นภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะ (Mount Akita-Komagatake) อันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดอาคิตะตั้งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบได้

 

ประตูโทริอิและเส้นทางเดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะรอบๆ ทะเลสาบทาซาวะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

อีกที่หนึ่งที่คุณสามารถชมทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบทาซาวะได้คือบริเวณประตูโทริอิสีแดงของศาลเจ้าโกซาโนอิชิ (御座石神社 Goza-no-ishi Jinja) บริเวณริมทะเลสาบทางทิศเหนือ ว่ากันว่าซาทาเคะ โยชิทาคะ (Satake Yoshitaka) อดีตผู้ครองอาคิตะ ได้เลือกจุดนี้เป็นจุดชมวิวของทะเลสาบทาซาวะ ผู้ที่มาเที่ยวชมทะเลสาบทาซาวะสามารถเดินเล่นสบายๆ ริมฝั่งทะเลสาบซึ่งมีทิวทัศน์อันเงียบสงบได้

 

ทิวทัศน์ของทะเลสบายทาซาวะจากเนินที่สกีรีสอร์ททาซาวาโกะ (เครดิตภาพ: จังหวัดอาคิตะ)

 

หากพูดถึงการชมวิวแล้ว ในช่วงฤดูหนาว ผู้ชื่นชอบกีฬาหน้าหนาวก็สามารถแวะไปที่ Tazawako Ski Resort (たざわ湖スキー場) สกีรีสอร์ทขนาดเล็กที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบทาซาวะ และภูเขาโดยรอบได้ โดยสามารถนั่งรถบัสจากจากสถานี Tazawako มาถึงสกีรีสอร์ทแห่งนี้ได้โดยใช้เวลา 30 นาที

 

การเดินทาง:

ทะเลสาบทาซาวะมีป้ายรถประจำทางสามป้าย ได้แก่ Tazawa-kohan, Goza-no-ishi และ Katajiri โดยป้าย Tazawa-kohan บริเวณริมทะเลสาบฝั่งตะวันออกอยู่ห่างจากสถานี Tazawako เพียง 12 นาที จากจุดนั้นนักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือชมทิวทัศน์ซึ่งใช้เวลา 40 นาทีแล่นข้ามทะเลสาบไปยังริมทะเลสาบฝั่งตะวันตกซึ่งมีรูปปั้นทัตสึโกะได้ ป้ายรถประจำทาง Tazawa-kohanยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนไปขึ้นรถประจำทางสายอื่นที่มุ่งหน้าไปหมู่บ้านออนเซ็นและภูเขาที่สวยงามบางแห่งของอาคิตะได้ ซึ่งเราจะมาแนะนำให้รู้จักในโอกาสต่อไป

 

นิวโตออนเซ็น

นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปทะเลสาบทาซาวะและภูเขารอบๆจะรู้ว่าอาคิตะคือสวรรค์แห่งน้ำพุร้อนที่มีรีสอร์ตออนเซ็นอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมายซ่อนตัวอยู่ตามหุบเขา

 

นิวโตออนเซ็นในฤดูกาลต่างๆ (เครดิตภาพ: จังหวัดอาคิตะ)

 

หากพูดถึงที่ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดก็น่าจะเป็นนิวโตออนเซ็น (乳頭温泉 Nyūtō Onsen) หมู่บ้านออนเซ็นชนบทที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขานิวโต (หรืออีกชื่อหนึ่งคือภูเขาเอโบชิ (烏帽子岳 Eboshi-dake)) นิวโตออนเซ็นประกอบด้วยเรียวกัง (旅館 ryokan) ออนเซ็นแปดแห่ง ล้อมรอบด้วยป่าต้นบีช (ブナ buna) เก่าแก่และมีทัศนียภาพที่สวยงามน่าประทับใจตลอดทั้งปี

 

นอกจากเรียวกังหลายแห่งในนิวโตออนเซ็นจะให้บริการที่พักสำหรับแขกที่มาค้างคืนแล้ว ก็ยังเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวในช่วงกลางวันด้วย ผู้มาเยือนนิวโตออนเซ็นห้ามพลาดโอกาสแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง (露天風呂 rotenburo) เพื่อเพลิดเพลินไปกับสีสันอันน่าอัศจรรย์ใจของธรรมชาติในขณะที่แช่น้ำให้ผ่อนคลาย

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิวโตออนเซ็นได้ที่บทความนี้

 

การเดินทาง:

จากสถานี Tazawako นั่งรถบัสไปยังนิวโตออนเซ็นได้โดยใช้เวลา 50 นาที

 

ทามากาวะออนเซ็น

ทามากาวะออนเซ็น (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

ทามากาวะออนเซ็น (玉川温泉) ตั้งอยู่ที่ตีนเขายาเกะ (焼山 Yakeyama) มีน้ำพุร้อนที่มีความเป็นกรดสูงซึ่งมีกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับน้ำพุร้อน ทามากาวะออนเซ็นขึ้นชื่อว่ามีน้ำพุร้อนที่มีความเป็นกรดมากที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อกันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แม้ว่าน้ำจากแหล่งกำเนิดจะมีค่า pH ประมาณ 1.2 แต่เนื่องจากบ่อน้ำพุร้อนหลายแห่งจะเจือจางด้วยน้ำจากแหล่งหลัก ผู้มาเยือนจึงไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังหากมีบาดแผลเปิด เนื่องจากน้ำอาจทำให้แสบได้

 

ระหว่างเส้นทางเดินรอบๆ ทามากาวะออนเซ็น นักท่องเที่ยวจะได้เห็นปล่องไอน้ำหลายสิบปล่องซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่ตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับกันบันโยคุ (岩盤浴 การอาบหินร้อน) บนทางเดินที่จะผ่านหินดานที่มีความร้อนจากพลังงานใต้ดิน สำหรับกันบันโยคุ นักท่องเที่ยวจะต้องนอนลงบนเสื่อที่ปูบนพื้นหินร้อนและคลุมตัวด้วยผ้าห่ม ว่ากันว่าความอบอุ่นจากหินสามารถบรรเทาความเมื่อยล้าและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ดี

 

การเดินทาง:

จากสถานี Tazawako สามารถเดินทางไปยังทามากาวะออนเซ็นได้ด้วยรถบัสโดยใช้เวลา 80 นาที

 

ภูเขาฮาจิมันไต

หนึ่งในทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดของอาคิตะอยู่ในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (十和田八幡平国立公園 Towada-Hachimantai Kokuritsu-kōen) อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาซึ่งทอดยาวไปในจังหวัดอาคิตะ จังหวัดอาโอโมริ และจังหวัดอิวาเตะ

 

เดินป่ารอบๆ ภูเขาฮาจิมันไต (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

อุทยานแห่งชาติแห่งนี้อุดมไปด้วยภูเขาสูงตระหง่าน ป่าไม้ที่สวยงาม เส้นทางเดินป่าที่สวยงาม และน้ำพุร้อนอันเงียบสงบ นอกจากนี้ ทั้งนิวโตะออนเซ็นและทามากาวะออนเซ็นยังตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต

 

เดินป่ารอบๆ ภูเขาฮาจิมันไต (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ภูเขาฮาจิมันไต (八幡平) เป็นหนึ่งใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น (日本百名山 Nihon hyaku-meizan) ตั้งอยู่ตามแนวเส้นแบ่งเขตจังหวัดอิวาเตะและอาคิตะ มียอดเขาค่อนข้างแบนที่สูง 1,613 เมตร สามารถเดินทางไปถึงได้ง่ายผ่านเส้นทางเดินเขาต่างๆที่เต็มไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงามของผืนป่าและบึงต่างๆ

 

การเดินทาง:

ภูเขาฮาจิมันไตสามารถเข้าถึงได้โดยนั่งรถบัส 1 ชั่วโมง 55 นาทีจากสถานีโมริโอกะ

 

ภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะ

เดินป่ารอบๆ ภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะ (เครดิตภาพt: จังหวัดอาคิตะ)

 

สำหรับคนรักการเดินป่าที่กำลังมองหาวิวสวยงามอื่นๆเพิ่มเติมนั้น แนะนำให้มุ่งหน้าไปยังภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะ (秋田駒ヶ岳 Mount Akita-Komagatake) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสองในอุทยานแห่งชาติโทวาดะฮาจิมันไตภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ซึ่งมียอดหลายยอดและมีเส้นทางเดินป่าที่มีการดูแลเป็นอย่างดีพร้อมด้วยทิวทัศน์ที่สวยงาม

 

ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมดอกไม้บนภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะหลากหลายพันธุ์จะพากันบานสะพรั่ง เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางสีเขียวขจีของฤดูร้อน

 

เดินป่ารอบๆ ภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะ (เครดิตภาพ: photoAC)

 

เราสามารถไปเส้นทางเดินเขาส่วนใหญ่บนภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะได้จากสถานีที่ 8 โดยนั่งรถบัสจากสถานี Tazawako สำหรับเส้นทางเดินเขาที่นิยมกันมากที่สุดคือเส้นทางระยะ 2.4 กม. รอบบึงอามิดะ (阿弥陀池 Amida-ike) ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีที่ 8 โดยใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งชั่วโมง จากจุดนั้นนักเดินเขาสามารถเดินทางต่อไปยังยอดเขาต่างๆ ของภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะได้ โดยยอดเขาที่สุดที่สุดคือโอนาเมดาเกะ (男女岳 Onamedake) ที่ความสูง 1,637 เมตร

 

สำหรับนักเดินป่าตัวยง ที่นี่ก็มีเส้นทางเดินจากภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะที่มุ่งหน้าสู่นิวโตออนเซ็น ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 8 ชั่วโมง การได้แช่น้ำพุร้อนหลังจากเดินเขามาทั้งวันช่างเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!

 

การเดินทาง:

จากสถานี Tazawako สามารถโดยสารรถบัส 1 ชั่วโมงไปยังสถานีที่ 8 ของภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะได้ ผู้ที่เดินทางมาจากนิวโตออนเซ็นสามารถนั่งรถบัสไปยัง Arupa Komakusa ได้โดยใช้เวลา 15 นาที จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสอีกคัน (ใช้เวลา 25 นาที) ซึ่งจะวิ่งตรงไปยังสถานีที่ 8 ของภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะ

 

③ สถานี Kakunodate (角館駅)

สำรวจประวัติศาสตร์และประเพณีอันยาวนานของซามูไร

ด้านนอกสถานี Kakunodate (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ถัดจากสถานี Tazawako เราจะไปกันที่สถานี Kakunodate (角館駅) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซ็มโบคุเช่นกัน รู้รึเปล่า? ไฮไลท์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของคาคุโนะดาเตะคือวิวต้นซากุระพันธุ์กิ่งย้อยที่ปรกลงมาตัดกับบ้านซามูไรที่เป็นฉากหลัง ถึงขนาดมีการตกแต่งลวดลายซากุระที่ทางเข้าสถานีรถไฟเลยทีเดียว!

 

​​ถนนบ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ

​​

ถนนบ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะในฤดูกาลต่างๆ (เครดิตภาพ: จังหวัดอาคิตะ)

 

ถนนบ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (角館武家屋敷通り Kakunodate Bukeyashiki Dо̄ri) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลิตเติ้ลเกียวโต (小京都 Shо̄-Kyо̄to) แห่งโทโฮคุ อยู่ในทำเลที่เดินไปถึงจากสถานี Kakunodate ได้ภายใน 20 นาที ตลอดแนวถนนมีอดีตบ้านซามูไรมากมาย ซึ่งหลายหลังได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีและช่วยเสริมบรรยากาศแบบบ้านเมืองในสมัยก่อนให้กับถนนสายนี้

 

หนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่คือดอกชิดาเระซากุระสีชมพูเข้ม (しだれ桜 ซากุระพันธุ์กิ่งย้อย) ที่มีกิ่งก้านห้อยลงมา ซึ่งดูสวยสะกดสายตาตัดกับบ้านซามูไรที่เป็นฉากหลัง ในบรรดาต้นซากุระเหล่านี้บางต้นมีต้นกำเนิดมาจากเกียวโต และเติบโตท่ามกลางต้นไม้ประเภทอื่นๆ เช่น เมเปิ้ล ต้นสน และแปะก๊วย นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวบรรยากาศที่สวยงามของถนนและแมกไม้ได้ตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเป็นสีชมพูสดใสในฤดูใบไม้ผลิ สีเขียวขจีในฤดูร้อน เฉดสีส้มเหลืองอบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วง และหิมะขาวปุกปุยในฤดูหนาว

 

บรรยากาศภายในบ้านซามูไรหลังหนึ่ง (เครดิตภาพ: ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น)

 

ในบรรดาบ้านซามูไรหลายหลังในพื้นที่นี้ บางหลังเป็นบ้านพักอาศัยของลูกหลานซามูไร ในขณะที่มี 6 หลังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ นักท่องเที่ยวสามารถชมการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ของซามูไรในอดีตได้ เช่น ชุดเกราะและดาบ บอกเลยว่าแฟนซามูไรและคนรักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต้องห้ามพลาด

 

คุณสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับคาคุโนะดาเตะในช่วงฤดูซากุระได้ที่บทความนี้ และดูข้อมูลเกี่ยวกับคาคุโนะดาเตะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงได้ที่บทความนี้

 

การเดินทาง:

จากสถานี Kakunodate สามารถเดินไปถนนบ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะได้โดยใช้เวลา 20 นาที

 

คาบาไซคุ งานฝีมือจากเปลือกไม้ซากุระ

คาบาไซคุ งานฝีมือจากเปลือกไม้ซากุระ (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

คาบาไซคุ (樺細工 Kabazaiku) มีต้นกำเนิดที่คาคุโนะดาเตะในช่วงสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603-1868) เป็นงานฝีมือจากเปลือกไม้ของต้นซากุระที่มีเอกลักษณ์และสวยงาม แรกเริ่มเดิมทีงานหัตถกรรมคาบาไซคุเป็นงานสร้างรายได้เสริมของเหล่าซามูไร แต่ตระกูลซาตาเกะ (Satake) อดีตผู้ปกครองอาคิตะได้สนับสนุนการผลิตงานฝีมือคาบาไซคุและพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่นขึ้น

 

เปลือกไม้ที่ใช้ทำงานฝีมือนั้นจะมาจากต้นซากุระอายุ 70–80 ปี โดยมักจะใช้เปลือกต้นซากุระพันธุ์โอยามะ (Ooyama) เป็นส่วนมากเพราะมีคุณภาพดี เกร็ดน่ารู้หนึ่งก็คือต้นไม้สามารถสร้างเปลือกใหม่ได้ ซึ่งหมายความว่าต้นไม้ต้นเดียวสามารถสร้างเปลือกเพื่อให้นำมาใช้ได้เป็นเวลาหลายปี

 

เดิมทีงานหัตถกรรมคาบาไซคุจะเป็นภาชนะดั้งเดิมสำหรับใส่ชา ยา และยาสูบ เนื่องจากมีคุณสมบัติกันลมและต้านเชื้อแบคทีเรียซึ่งช่วยรักษาและยืดอายุของสิ่งที่เน่าเสียได้ง่ายเหล่านี้ ทุกวันนี้ จาน ถาด และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นงานคาบาไซคุ ต่างก็ได้รับความนิยมด้วยสีสันและลวดลายที่สวยงามของชิ้นงาน

 

Hotel Folkloro Kakunodate

Hotel Folkloro Kakunodate มีห้องพัก Komachi ซีรีส์ E6 (เครดิตภาพ: JR East)

 

ค้นหาที่พักในคาคุโนะดาเตะ มองไม่ไกลจาก Hotel Folkloro Kakunodate (ホテルフォルクローロ角館) ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อ 25 ปีที่แล้วร่วมกับ Akita Shinkansen โรงแรมได้สร้างห้องธีม Komachi ซีรีส์ E6 ซึ่งจะเปิดให้เข้าพักได้

 

ของสมนาคุณพิเศษในธีม Komachi สำหรับแขกผู้เข้าพัก (เครดิตภาพ: JR East)

 

สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่รอคุณอยู่คือห้องซึ่งตกแต่งด้วยสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของรถไฟ Komachi และโซฟาที่คล้ายกับที่นั่งในรถไฟจริงๆ ผู้เข้าพักจะได้รับของสมนาคุณในธีม Komachi เช่น กุญแจห้องรุ่นพิเศษ และขวดน้ำรูปรถไฟ Komachi ขึ้นอยู่กับแพลนการเข้าพักที่จองไว้

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับห้องพัก Komachi ที่ Hotel Folkloro Kakunodate ได้ที่เว็บไซต์นี้

 

การเดินทาง:

Hotel Folkloro Kakunodate ตั้งอยู่ด้านนอกสถานี Kakunodate

 

ทางรถไฟสาย Akita Nairiku

รถไฟบนทางรถไฟทางสาย Akita Nairiku (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)


ที่สถานี Kakunodate นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Akita Nairiku (秋田内陸線 Akita Nairiku Sen) ซึ่งดำเนินการโดย Akita Nairiku Railway ทางรถไฟเชื่อมระหว่างสถานี Kakunodate กับสถานี Takanosu ทางตอนเหนือของจังหวัดอาคิตะ ผ่านพื้นที่ภายในจังหวัดอาคิตะที่สวยงามในทุกฤดูกาล

 

ภูเขาโมริโยชิในฤดูหนาวและฤดูร้อน (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)


สถานที่หนึ่งที่ควรค่าแก่การไปเยือนคือภูเขาโมริโยชิ (森吉山 Moriyoshizan) ในช่วงฤดูหนาวคุณจะได้เห็นวิวอันน่าทึ่งของปีศาจหิมะ (Snow Monster) ขนาดยักษ์ และในช่วงฤดูร้อนภูเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ของดอกไม้บนเทือกเขาสูงนับพันที่พากันบานสะพรั่งระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทางรถไฟสาย Akita Nairiku ได้ที่บทความนี้

 

④ สถานี Ōmagari (大曲駅)

เมืองแห่งดอกไม้ไฟและอื่นๆ อีกมากมาย

ภายนอกสถานี Omagari (เครดิตภาพ: photoAC)

 

ถัดจากสถานี Kakunodate คือสถานี Ōmagari (大曲駅) ที่ตั้งอยู่ในเมืองไดเซ็น (大仙市 Daisen-shi) รู้หรือไม่? โอมาการิเป็นที่รู้จักในฐานะ "เมืองแห่งดอกไม้ไฟ" (花火のまち hanabi no machi) เพราะที่นี่มีการแสดงดอกไม้ไฟทุกเดือน!

 

ดอกไม้ไฟโอมาการิ

ตามเข็มนาฬิกา: Chapter ดอกไม้ไฟโอมาการิในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Omagari เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีจากการเป็นเจ้าภาพจัดดอกไม้ไฟ Omagari (大曲の花火 О̄magari no hanabi)) อันตระการตา ซึ่งเป็นงานแสดงดอกไม้ไฟที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ กิจกรรมฤดูร้อนนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงดอกไม้ไฟเท่านั้น แต่ยังเป็นการแข่งขันระดับประเทศอีกด้วย โดยทีมที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นจะแข่งขันกันเพื่อชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการแสดงที่ตระการตาในเทศกาลนี้ไม่ใช่เรื่องน่าหลงใหลเลย

 

นักท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเดินทางไปโอมาการิในช่วงฤดูร้อนได้ก็ไม่ต้องเสียใจไปเพราะงานดอกไม้ไฟโอมาการิมี “Chapter” ตามฤดูกาลต่างๆ ทั้งในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นประสบการณ์ฤดูร้อนแบบเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังถือว่าเป็นอิเวนต์ขนาดใหญ่ และผู้มาเยือนจะยังได้ชื่นชมการแสดงดอกไม้ไฟคุณภาพสูงที่น่าประทับใจ

 

การเดินทาง:

สถานที่จัดงานดอกไม้ไฟโอมาการิอยู่ห่างจากสถานี Ōmagari โดยใช้เวลาเดิน 30 นาที

 

Hanabium

Hanabium พิพิธภัณฑ์ที่อุทิศขึ้นเพื่อดอกไม้ไฟ (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

ถ้าคุณอยากเรียนรู้เกี่ยวกับดอกไม้ไฟเพิ่มเติม ให้ไปที่ Hanabi Tradition and Culture Preservation Museum (花火伝統文化継承資料館 Hanabi Dentō Bunka Keishō Shiryōkan) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ Hanabium (はなび・アム hanabi-amu)

 

Hanabium ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปี 2018 แห่งนี้เป็นพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามาเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับดอกไม้ไฟ นอกจากส่วนของนิทรรศการที่ผู้เข้าชมจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของดอกไม้ไฟ วิธีทำดอกไม้ไฟ และวิธีการชื่นชมดอกไม้ไฟแล้ว พิพิธภัณฑ์ยังมีโซนกิจกรรม Interactive ที่จะทำให้คนรักดอกไม้ไฟตื่นเต้นอีกด้วย

 

หนึ่งในโซนเหล่านี้คือ Hanabi Theatre ซึ่งจะฉายภาพดอกไม้ไฟที่มีความคมชัดสูงบนหน้าจอมัลติสกรีนสี่ด้าน นอกจากนี้ยังมีอีกกิจกรรมสนุกๆ ที่ Hanabi Sōsaku Kōbō (はなび創作工房 Hanabi Sōsaku Kōbō) ผู้เข้าชมจะสัมผัสประสบการณ์ยิงดอกไม้ไฟที่ตัวเองออกแบบขึ้นบนหน้าจอ หากคุณชื่นชอบการชมดอกไม้ไฟก็อย่าลืมแวะเวียนมาที่ Hanabium นะ

 

การเดินทาง:

เดิน 10 นาทีจากสถานี Ōmagari

 

พาร์เฟ่ต์ฮานาบิ

พาร์เฟ่ต์ฮานาบิ (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

ยังไม่จุใจกับดอกไม้ไฟเหรอ? งั้นต้องลองพาร์เฟ่ต์ฮานาบิ (Hanabi Parfait) สุดอลังอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไดเซ็น และเป็นของหวานยอดฮิตที่ Milk House Coffee & Parlor หน่อยแล้ว ตัวพาร์เฟ่ต์ท็อปปิ้งด้วยผลไม้ตามฤดูกาลหลากสีสัน โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ดอกไม้ไฟเป็นประกายที่ปักอยู่ตรงกลาง! ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกว้าวกับขนมหวานเป็นประกายที่ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะแน่นอน ที่สำคัญคือเมนูนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่อร่อยจนทำให้คุณน้ำลายสอได้อย่างแน่นอน

 

การเดินทาง:

เดิน 5 นาทีจากสถานี Ōmagari ก็จะถึง Milk House Coffee & Parlor

 

อดีตสวนของตระกูลอิเคดะ

แม้ว่าโอมาการิจะเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งดอกไม้ไฟแต่เมืองนี้ก็ยังมีสถานที่สวยงามซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับประวัติศาสตร์และธรรมชาติได้

 

อดีตสวนของตระกูลอิเคดะในฤดูกาลต่างๆ (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

หนึ่งในสถานที่แนวนั้นคืออดีตสวนของตระกูลอิเคดะ (Former Ikeda Family Gardens) สวนสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในย่านเงียบสงบของเมืองไดเซ็นสวนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยตระกูลอิเคดะซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในโทโฮคุภายในสวนมีพันธุ์ไม้และดอกไม้หลากหลายชนิดซึ่งให้ทัศนียภาพที่สวยงามในทุกฤดูกาล

 

ในบริเวณพื้นที่ยังมีคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกสวยงามซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งปัจจุบันถูกใช้เป็นห้องสมุด คฤหาสน์ตกแต่งด้วยเสาหินอ่อนและวอลเปเปอร์หนังติดแผ่นทองคำเปลว คฤหาสน์แห่งนี้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น (Important Cultural Property of Japan) และสวนวิวสวยก็จัดเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามประจำชาติ (National Site of Scenic Beauty)

 

การเดินทาง:

สวน Former Ikeda Family Gardens ตั้งอยู่ห่างจากสถานี Ōmagari Station โดยใช้เวลาเดินทางด้วยแท็กซี่ 15 นาที สถานที่แห่งนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น

 

⑤ สถานี Akita (秋田駅)

ศูนย์กลางจังหวัดอาคิตะ

ออกจากประตูตรวจตั๋วสู่สถานี Akita (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

สถานี Akita (秋田駅) เป็นสถานีปลายทางของ Akita Shinkansen ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาคิตะ (秋田市 Akita-shi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัด ภายในเมืองอาคิตะ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับสวนเซ็นชู (Senshu Park) ที่สวยงาม สนุกกับกับการแสดงไมโกะ เล่นกับสุนัขอาคิตะอินุ ชมเทศกาลอาคิตะคันโตอันน่าตื่นเต้นในฤดูร้อน และอื่นๆ อีกมากมาย

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองอาคิตะได้ที่บทความนี้

 

นอกจากจะเป็นสถานที่เที่ยวในตัวเมืองแล้ว สถานี Akita ก็ยังเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดด้วย จากรถไฟ Akita Shinkansen นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสายท้องถิ่นที่ทอดยาวไปทางเหนือ ใต้ และตะวันตกของเมือง เพื่อสำรวจธรรมชาติอันสวยงามและเมืองชนบทที่มีเสน่ห์ได้

 

ทางรถไฟสาย Gono: ชิราคามิซันจิและเส้นทางสู่อาโอโมริ

รถไฟ Resort Shirakami ที่วิ่งไปตามชายฝั่ง (เครดิตภาพ: JR East)

 

จากสถานี Akita นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นรถไฟ Resort Shirakami ซึ่งเป็นรถไฟ Joyful Train ที่วิ่งไปตามทางรถไฟสายหลัก Ōu (奥羽本線) และทางรถไฟสาย Gonо̄ (五能線) และเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดอาคิตะกับจังหวัดอาโอโมริที่อยู่ทางตอนเหนือ

 

ชื่อของรถไฟขบวนมีที่มาจากมรดกโลกทางธรรมชาติของ UNESCO นั่นคือชิราคามิ-ซันจิ (白神山地) ในจังหวัดอาคิตะและอาโอโมริ พื้นที่อันน่าทึ่งนี้มีต้นบีชเก่าแก่ สัตว์หายากเช่นนกหัวขวานดำ รวมไปถึงทะเลสาบและบึงที่สวยงามอย่างอาโออิเคะ

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถไฟ Resort Shirakami ได้ที่บทความนี้

 

ทางรถไฟสาย Oga: นามาฮาเกะและแหลมโองะ

ทางตะวันตกเฉียงเหนือจากเมืองอาคิตะคือแหลมโองะ (男鹿半島 Oga Hantо̄) ซึ่งสามารถเดินทางไปได้ด้วยทางรถไฟสาย Oga (男鹿線) ภูมิภาคนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรมประเพณีและสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยงามน่าอัศจรรย์

 

นามาฮาเกะที่ดุดัน (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

เมื่อพูดถึง “โองะ” สิ่งที่จะนึกถึงเป็นอย่างแรกเลยก็คือนามาฮาเกะ (なまはげ) เทพรูปร่างคล้ายยักษ์ที่จะมาเยี่ยมเยียนในช่วงปีใหม่เพื่อตักเตือนเด็กๆ ให้ประพฤติตัวดีๆ และบอกผู้ใหญ่ให้ขยันและอย่าเกียจคร้าน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแหลมโองะ และได้รับเลือกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของ UNESCO (UNESCO Intangible Cultural Heritage)

 

ทิวทัศน์ธรรมชาติบริเวณแหลมโองะ (เครดิตภาพ: 東北観光推進機構 (ซ้าย) Akita Prefecture (ขวา))

 

นอกจากสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับนามาฮาเกะแล้ว แหลมโองะยังเต็มไปด้วยสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น หาดอุโนซากิ (鵜ノ崎海岸 บางครั้งก็เรียกว่า “ที่ราบเกลืออุยูนิแห่งอาคิตะ”) แหลมนิวโดซากิ (入道崎) ภูเขาคัมปู (寒風山) และหินก็อตซิลล่า (ゴジラ岩) ที่มีรูปทรงน่าสนใจ คนรักธรรมชาติไม่ควรพลาดโอกาสชมสถานที่เหล่านี้เมื่อไปเยือนอาคิตะในครั้งต่อไป

 

ทางรถไฟสายหลัก Uetsu ภูเขาโชไก มุ่งหน้าสู่ยามากาตะ

ทางรถไฟสายหลัก Uetsu (羽越本線) เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดอาคิตะกับจังหวัดยามากาตะและจังหวัดนีงาตะโดยทอดยาวไปตามชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นทำให้การเดินทางไปยังภูเขาโชไก (鳥海山 Chо̄kai-san) หนึ่งในภูเขาที่สำคัญที่สุดของโทโฮคุสะดวกสบายยิ่งขึ้น

 

ภูเขาโชไก (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

อาคิตะเป็นที่ตั้งของภูเขาที่งดงามหลายลูก เช่น ภูเขาฮาจิมันไตและภูเขาอาคิตะโคมากาทาเกะที่เรากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ภูเขาลูกใหญ่อีกลูกหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของอาคิตะบริเวณเส้นแบ่งเขตติดกับจังหวัดยามากาตะคือ ภูเขาโชไกที่สูง 2,236 เมตร ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดอาคิตะ และเป็นหนึ่งใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นด้วย

 

ด้วยยอดเขาที่มีความสมมาตรคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ ทำให้ภูเขาลูกนี้ถูกเรียกว่าเดวะ-ฟูจิ (Dewa-Fuji) โดยเดวะเป็นชื่อเก่าของภูมิภาคนี้ เช่นเดียวกับภูเขาเดวะซันซัน เมื่อหลายร้อยปีก่อนภูเขาโชไกยังมีความสำคัญอย่างมากต่อสาวกของชูเก็นโด (修験道) ศาสนาโบราณที่บูชาภูเขาซึ่งหลอมรวมประเพณีของศาสนาพุทธและชินโตเข้าด้วยกัน 

 

เดินป่ารอบๆ ภูเขาโชไก (เครดิตภาพ: photoAC)

 

แม้ว่าจะไม่ใช่นักฝึกชูเก็นโดแต่ผู้ที่หลงใหลการเดินป่าก็สามารถปีนภูเขาโชไกเพื่อชมวิวทิวทัศน์อันน่าทึ่งได้ ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเดินเขาโชไก นักเดินเขาสามารถชมดอกไม้บนเทือกเขาสูงในช่วงฤดูร้อน และชมสีสันที่สวยงามของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงได้

 

เส้นทางเดินเขาชูไกมีด้วยกันถึง 9 เส้นทาง แต่ฉันขอแนะนำเส้นทางคิซากาตะ (象潟口コース) ซึ่งจะที่นักเดินเขาจะเดินไปรอบๆ ทะเลสาบโชไก และเดินต่อไปตามสันเขาที่มองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของทัศนียภาพรอบด้าน เส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมงในการเดินทางไป-กลับ

 

การเดินทาง:

คุณสามารถเดินทางไปยังเส้นทางคิซากาตะของภูเขาโจไกได้ด้วยการนั่งแท็กซี่ 35 นาทีจากสถานีคิซากาตะ สถานี Kisakata ใช้เวลาโดยสารรถไฟ 1 ชั่วโมงจากสถานี Akita โดยใช้รถไฟด่วนพิเศษ Limited Express Inaho

 

อาหารรสเลิศประจำจังหวัดอาคิตะ

อาหารท้องถิ่นบางส่วนของจังหวัดอาคิตะ (เครดิตภาพ: Akita Prefecture)

 

ไม่มีทริปไหนจะสมบูรณ์ได้หากไร้ซึ่งอาหารเลิศรส อาคิตะมีอาหารอร่อยมากมายที่นักท่องเที่ยวต้องลองชิม ไม่ว่าจะเป็นเส้นอินานิวะอุด้งที่เนียนนุ่ม คิริทัมโปะแสนอร่อยอบอุ่นหัวใจ ไก่ฮิไนจิโดริรสเลิศ อิบุริกัคโกะรมควัน… และอื่นๆ อีกมากมาย!

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับของอร่อยในอาคิตะได้ที่บทความนี้

 

การเดินทางไปที่นั่น

Komachi ซีรีส์ E6 ที่สถานี Akita (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

แม้จะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโทโฮคุ แต่สามารถเดินทางไปอาคิตะได้อย่างง่ายดายผ่านเครือข่ายรถไฟที่แข็งแกร่ง Akita Shinkansen เฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของการเปิดให้บริการใน Akita ในปี 2022 โปรดใช้มันอย่างเต็มที่ในการเดินทางของคุณ

 

JR EAST PASS (Tohoku area)

The JR EAST PASS (Tohoku area) และพื้นที่ที่ครอบคลุม (เครดิตภาพ: JR East)

 

หากคุณกำลังเยี่ยมชมอาคิตะ ลองดูบัตร JR EAST PASS (Tohoku area) (พื้นที่โทโฮคุ) ซึ่งเป็นบัตรผ่านราคาประหยัดที่ให้การเดินทางด้วยรถไฟสาย JR East ได้ไม่จำกัด (รวมถึงรถไฟหัวกระสุน เช่น อาคิตะชินคันเซ็น) ในพื้นที่ที่ใช้ได้เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน ด้วยราคาเพียง 30,000 เยนหลังจากการแก้ไขตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2023 มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเที่ยวบินไปกลับระหว่างโตเกียวและอาคิตะ (~ 36,000 เยน)

 

JR EAST PASS (พื้นที่โทโฮคุ) ยังสามารถจองที่นั่งรถไฟหัวกระสุน รถไฟด่วนพิเศษบางขบวน และรถไฟ Joyful Train ทางออนไลน์ได้ฟรีล่วงหน้าสูงสุด 1 เดือนที่นี่ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับครอบครัวที่ต้องการจองที่นั่งเป็นกลุ่ม หรือบุคคลที่กำลังมองหาที่นั่งริมหน้าต่างหรือริมทางเดินโดยเฉพาะ

 

JR EAST PASS (Tohoku area) สามารถใช้กับประตูตรวจตั๋วอัตโนมัติได้ และผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถใช้ตั๋วโดยสารนี้ได้เช่นกัน

 

เครดิตภาพปก: photoAC
Translated by ANNGLE

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article:
TSC-Banner