ใบไม้ร่วงสวยต้องชินเอ็ทสึ ตอนที่ 1: วิวใบไม้แดงสุดว้าวของนากาโนะ

อัปเดตเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2023
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2022
คุณเคยได้ยินชื่อภูมิภาคชินเอ็ทสึมาก่อนหรือไม่? ชินเอ็ทสึ (信越 Shin’etsu) เป็นชื่อเรียกพื้นที่จังหวัดนากาโนะและนีงาตะ และมีที่มาจากตัวอักษรแรกของชินชู (信州 ชื่อเก่าจังหวัดนากาโนะ) และเอจิโกะ (越後 ชื่อเก่าจังหวัดนีงาตะ) ทั้งสองจังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่มีหิมะตกหนักและมีจำนวนสกีรีสอร์ทเยอะที่สุดในญี่ปุ่น (#1 นีงาตะ, #2 นากาโนะ) อย่างไรก็ตาม เมื่อหิมะละลายโลกอีกใบก็จะถูกเผยให้เห็น นั่นก็คือสวรรค์ของบรรดาคนรักธรรมชาติ ซึ่งฉันเชื่อว่าธรรมชาติที่นี่จะสวยที่สุดในฤดูใบไม้ร่วง ในซีรี่ส์นี้พวกเราจะไปดูวิวฤดูใบไม้ร่วงของภูมิภาคชินเอ็ทสึกัน โดยเริ่มจากจังหวัดนากาโนะในตอนที่ 1 และจังหวัดนีงาตะในตอนที่ 2!
ถ้าพูดถึง “นากาโนะ” (長野) แล้วก็จะนึกถึงภาพบรรดาภูเขาสูงเสียดฟ้าและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนรักกิจกรรมกลางแจ้งจะบอกคุณว่าจังหวัดนากาโนะจะสวยที่สุดในฤดูร้อน โดยมีตัวเลือกกิจกรรมที่หลากหลายเช่นการเดินเขา ปั่นจักรยาน ปีนเขา ตั้งแคมป์ ล่องเรือ และอีกมากมาย ส่วนคนรักกีฬาฤดูหนาวก็จะบอกคุณว่าฤดูหนาวคือฤดูกาลที่ต้องไปนากาโนะให้ได้ เพราะที่นั่นมีหิมะปุยสวยราวกับแป้งและมีสโลปหลากหลายแบบที่ให้ทั้งนักเล่นระดับมือสมัครเล่นและมืออาชีพมาเล่นกันได้
แผนที่สถานที่ที่จะแนะนำในบทความนี้ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วฉันรู้สึกว่าฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูกาลที่มีมนต์เสน่ห์และสวยงามที่สุด และในบทความนี้ ฉันจะแนะนำสถานที่สำหรับชมวิวฤดูใบไม้ร่วงที่สวยอย่างไม่น่าเชื่อของนากาโนะที่บอกเลยว่าห้ามพลาด ไม่ต้องห่วง สถานที่ทั้งหมดนี้สามารถไปถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องเดินเยอะมาก แต่ในจำนวนนี้ก็จะมีตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับนักเดินทางสายลุยที่จะออกเดินทางเพื่อให้ได้วิวที่สวยขึ้น คุณพร้อมหรือยัง? ไปกันเลย!
① เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto City)
มาเริ่มกันที่เมืองมัตสึโมโตะ (松本市 Matsumoto-shi) ที่มีเสน่ห์แห่งนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองโปรดของฉันในประเทศญี่ปุ่น เมืองมัตสึโมโตะมีเทือกเขาแอลป์ตอนเหนือเป็นฉากหลัง และเป็นที่ที่คุณควรจะใช้เป็นที่พักหลักถ้าคุณอยากจะสำรวจภูเขาและจุดชมใบไม้แดงรอบๆ พื้นที่แห่งนี้ แต่คุณไม่ต้องไปหาใบไม้แดงที่ไหนไกลเลย เพราะในตัวเมืองมัตสึโมโตะนี้มีจุดให้ชมกันอยู่มากมายทีเดียว
ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle)
ช่วงชมใบไม้แดง: ต้น-กลางเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
ปราสาทมัตสึโมโตะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Japanmase)
ปราสาทมัตสึโมโตะ (松本城 Matsumoto-jō) สีดำเท่สง่านี้เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองมัตสึโมโตะ อีกทั้งเป็นปราสาทหลังโปรดของฉันในญี่ปุ่นและเป็นสมบัติชาติ ปราสาทมัตสึโมโตะที่สร้างขึ้นในยุคบุนโรคุ (Bunroku Era 1592-1596) นี้มีหอคอยปราสาทสูงห้าชั้นที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และถือเป็นความสำเร็จด้านสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งอย่างหนึ่ง
ตัวปราสาทถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ และในเวลาที่น้ำนิ่งสงบตัวคูน้ำจะสะท้อนภาพของปราสาท ท้องฟ้า และทิวทัศน์ที่สวยงาม สวนที่ล้อมรอบปราสาทมัตสึโมโตะนั้นสามารถเข้าชมได้ฟรี ดังนั้นคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวของปราสาทอย่างในรูปด้านบนนี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าเข้าแต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อให้ได้วิวที่สวยงามยิ่งขึ้น ฉันแนะนำให้ขึ้นไปยังหอคอยของปราสาทเพื่อชมวิวแบบพาโนรามาจากบนยอดปราสาท!
พื้นที่ที่ต้องซื้อตั๋วเข้าของปราสาทมัตสึโมโตะและวิวจากข้างบน (เครดิตภาพ: Japanmase)
ถ้ามองจากด้านนอกตัวปราสาทจะดูเหมือนมีห้าชั้น แต่ที่จริงแล้วมีทั้งหมดหกชั้นเพราะว่ามีชั้นที่ “ถูกซ่อน” ไว้อยู่ หลังจากเดินขึ้นบันไดหกชั้นแล้วคุณก็จะได้ชมวิวเมืองพาโนรามาสุดพิเศษของเมืองมัตสึโมโตะเป็นรางวัลให้กับความเหนื่อย ในวันอากาศแจ่มใสที่จะมีให้เห็นทั่วไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวนั้น คุณจะได้เห็นเทือกเขาแอลป์ตอนเหนืออยู่ไกลๆ ด้วย ซึ่งเป็นฉากหลังที่สวยงามมากทีเดียว
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องปราสาทมัตสึโมโตะและปราสาทญี่ปุ่นที่โดดเด่นทั้งหลายนั้น คุณสามารถอ่านได้ที่บทความก่อนหน้านี้ของฉันที่นี่
ถนนนาวาเตะ / แม่น้ำเมโตบะ (Nawate Stree / Metoba River)
ช่วงชมใบไม้แดง: ต้น-กลางเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
ถนนนาวาเตะและริมตลิ่งแม่น้ำเมโตบะ (เครดิตภาพ: Japanmase)
ใกล้ๆ กับปราสาทมัตสึโมโตะ ระหว่างศาลเจ้าโยฮาชิระ (Yohashira Shrine) และแม่น้ำเมโตบะ (女鳥羽川 Metoba-gawa) นั้นจะมีถนนเส้นเล็กๆ ที่มีชื่อว่าถนนนาวาเตะ (縄手通りNawate Dōri) อย่างหนึ่งที่คุณจะสังเกตเห็นได้เลยก็คือการตกแต่งและสินค้าของที่ระลึกธีมกบที่มีให้เห็นมากมาย
ว่ากันว่าในอดีต ตลิ่งแม่น้ำเมโตบะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดากบทั้งหลาย และเสียงกบร้องเป็นอะไรที่มีให้ได้ยินกันทั่วไป คำว่า “คาเอรุ” (蛙 kaeru) ที่แปลว่า “กบ” ในภาษาญี่ปุ่นนั้นพ้องเสียงกับคำภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “กลับบ้าน” (帰る kaeru) และการตกแต่งรูปกบทั้งหลายต่างมีความหมายสื่อถึงการกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย
ในฤดูใบไม้ร่วง คุณจะได้เห็นต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงสุดร้อนแรง และถ้าเดินไปอีกนิดคุณก็จะไปถึงแม่น้ำเมโตบะซึ่งจะมีแนวต้นไม้หลากสีสันตามตลิ่งให้ชมกันอีก
ศาลเจ้าโยฮาชิระ (Yohashira Shrine)
ช่วงชมใบไม้แดง: ต้น-กลางเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
ศาลเจ้าโยฮาชิระ (เครดิตภาพ: Japanmase)
ใกล้ๆ กันกับถนนนาวาเตะจะมีศาลเจ้าโยฮาชิระ (四柱神社 Yohashira Jinja) ซึ่งมีต้นไม้สวยงามมากมายในพื้นที่ ชื่อ “โยฮาชิระ” สามารถแปลได้ตรงตัวว่า “สี่เสา” และชื่อนี้มีที่มาจากการที่ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าสำหรับบูชาเทพสี่องค์นั่นเอง ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้บนต้นไม้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงและส้มหลากเฉดสี เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยสะดุดตา ณ ใจกลางเมือง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องกิจกรรมที่ทำได้ในมัตสึโมโตะ ติดตามอ่านได้ในบทความเก่าจากทีมงานสาขานากาโนะของเราที่นี่และที่นี่
การเดินทางไปเมืองมัตสึโมโตะ:
คุณสามารถเดินทางไปสถานี JR Matsumoto (松本駅) ได้โดยนั่งรถไฟ Limited Express Azusa 2.5–3 ชั่วโมงจากสถานี JR Shinjuku และนั่งรถไฟ Limited Express Shinano ประมาณ 50 นาทีถึง 1 ชั่วโมงนาทีจากสถานี JR Nagano
② ทะเลสาบสุวะ (Lake Suwa)
ทะเลสาบสุวะที่เห็นได้จากสวนทาเตอิชิ (เครดิตภาพ: Japanmase)
ต่อไปเรามาดูทะเลสาบสุวะ (諏訪湖 Suwako) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดนากาโนะกัน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ ใจกลางจังหวัด คุณเคยชมภาพยนตร์อนิเมะของมาโกโตะ ชินไคเรื่อง “Your Name.” (君の名は。 Kimi no Na wa) กันหรือเปล่า? มาโกโตะ ชินไคเป็นคนจังหวัดนากาโนะ และว่ากันว่าทะเลสาบสุวะเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้กับเมืองอิโตโมริ (Itomori) เมืองที่ถูกแต่งขึ้นตามท้องเรื่องภาพยนตร์นั่นเอง
สวนทาเตอิชิ (Tateishi Park)
ช่วงชมใบไม้แดง: ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
ทะเลสาบสุวะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Japanmase)
เพียงเดิน 10 นาทีจากสถานี JR Kami-Suwa คุณก็จะมาถึงริมฝั่งทะเลสาบสุวะ แต่เพื่อให้ได้วิวที่พิเศษ ฉันขอแนะนำให้ไปที่สวนทาเตอิชิ (立石公園 Tateishi Kо̄en) ที่คุณจะสามารถเห็นวิวมุมสูงของทะเลสาบและเมืองโดยรอบได้
สีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงรอบๆ สวนทาเตอิชิ (เครดิตภาพ: Japanmase)
คุณสามารถไปถึงสวนทาเตอิชิได้โดยนั่งรถบัส 10 นาทีหรือนั่งรถแท็กซี่ หรือจะเดิน 30 นาทีจากสถานี JR Kami-Suwa ก็ได้เช่นกัน ถ้าคุณเป็นสายลุยหน่อย ฉันขอแนะนำให้เดินชึ้นไปข้างบนซึ่งคุณจะสามารถชมสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามพร้อมวิวที่หลากหลายรอบๆ พื้นที่สวนได้
ด้วยทำเลที่ความสูง 934 ม. วิวจากข้างบนนั้นไม่ธรรมดาเลย เพราะคุณจะได้วิวแบบพาโนรามาที่เห็นได้ทั้งภูเขาโดยรอบและเมืองทั้งสามได้แก่เมืองสุวะ ชิโมะสุวะ และโอคายะ พอได้มองวิวนี้แล้วก็นึกภาพออกได้ง่ายเลยว่าวิวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากในบรรดาหนังและภาพยนตร์ได้อย่างไร!
พระอาทิตย์ตกเหนือทะเลสาบสุวะ (เครดิตภาพ: Japanmase)
ถ้าคุณมีเวลา ฉันขอแนะนำให้คุณชมวิวพระอาทิตย์ตกจากสวนทาเตอิชิด้วย เพราะทะเลสาบสุวะจะสะท้อนเงาของพระอาทิตย์ตกและสร้างบรรยากาศอบอุ่นโรแมนติก เป็นทำเลชั้นเยี่ยมสำหรับการออกเดทสุดโรแมนติกในฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงเวลาพักผ่อนที่เงียบสงบ
สวนทาคาชิมะ (Takashima Park)
ช่วงชมใบไม้แดง: ปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
สวนทาคาชิมะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: photoAC)
ที่เมืองสุวะ เพียงเดินจากสถานี JR Kami-Suwa มา 15 นาทีก็จะเจอกับปราสาททาคาชิมะ (高島城 Takashima-jō) แม้ว่าตัวปราสาทจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก แต่พื้นที่ปราสาทนั้นมีสวนที่สวยงามมากๆ ชื่อสวนทาคาชิมะ (高島公園Takashima Kōen) อยู่ ซึ่งมีบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงสวนแบบญี่ปุ่น
สวนทาคาชิมะและปราสาททาคาชิมะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: photoAC)
สวนที่สวยงามนี้เป็นจุดที่ต้องไปให้ได้ในฤดูใบไม้ร่วงถ้าคุณมาเที่ยวแถวๆ ทะเลสาบสุวะ ซึ่งจะเป็นช่วงที่ต้นไม้จะเฉิดฉายด้วยสีสันหลากเฉดที่สดใส ทั้งสีแดง ส้ม และเหลือง สระน้ำเล็กๆ ของสวนแห่งนี้จะทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นวิวสวยงามและท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน และจะสวยเป็นพิเศษเมื่องท้องฟ้าเป็นสีคราม แม้ว่าตัวปราสาทจะมีค่าเข้าชม แต่สวนนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี และคุณสามารถใช้เวลาเดินเล่นรอบๆ สวนและชมสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงก็ได้
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องกิจกรรมที่ทำได้ในคามิสุวะ ติดตามอ่านได้ในบทความเก่าจากทีมงานสาขานากาโนะของเราที่นี่
การเดินทางไปทะเลสาบสุวะ:
คุณสามารถเดินทางไปสถานี JR Kami-Suwa (上諏訪駅) ได้โดยนั่งรถไฟ Limited Express Azusa 2 ชั่วโมง 10 นาทีจากสถานี JR Shinjuku หรือนั่งรถไฟ Limited Express Azusa ไม่เกิน 30 นาทีจากสถานี JR Matsumoto
③ คามิโคจิ (Kamikochi)
ถ้าคุณถามฉันว่าสถานที่โปรดของฉันในญี่ปุ่นคือที่ไหน ฉันก็จะตอบอย่างไม่ลังเลว่าคามิโคจิ (上高地 Kamikōchi) อยู่เสมอ คามิโคจิตั้งอยู่ ณ ความสูง 1,500 ม. แห่งนี้ เป็นพื้นที่ราบสูงเก่าแก่สวยงาม ซึ่งมีวิวที่มีเสน่ห์ของแม่น้ำอาซุสะ (梓川 Azusa-gawa) สีฟ้าใสไหลผ่านหน้าเทือกเขาโฮทากะ คุณรู้ไหม? แม่น้ำอาซุสะคือสถานที่ที่เป็นที่มาของชื่อรถไฟ Limited Express Azusa ซึ่งเป็นรถไฟที่เชื่อมระหว่างชินจูกุกับมัตสึโมโตะและฮาคุบะนั่นเอง
คามิโคจิในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
พื้นที่เทือกเขาแอลป์ตอนเหนือที่ตั้งอยู่ท่ามกลางยอดเขาสูงและหุบเขาลึกแห่งนี้เป็นที่ที่นักปีนเขาทั้งหลายต้องเดินทางมาให้ได้ โดยที่นี่มีคามิโคจิเป็นทางเข้าสำหรับเส้นทางเดินเขาต่างๆ ในภูเขาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม คามิโคจิไม่ได้เป็นสถานที่สำหรับคนรักการเดินเขาเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายที่ที่คุณสามารถชมวิวสุดพิเศษได้ ซึ่งไปได้โดยเดินเพียงไม่กี่นาทีจากป้ายรถบัสที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น!
บริเวณท่ารถบัสคามิโคจิ (Kamikochi Bus Terminal area)
ช่วงชมใบไม้แดง: กลาง-ปลายเดือนตุลาคม (ต่างกันไปในแต่ละปี)
สะพานกัปปะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Japanmase)
เมื่อนั่งรถบัสมาถึงคามิโคจิ คนส่วนมากจะลงรถกันที่ท่ารถบัสคามิโคจิ (Kamikochi Bus Terminal) ที่เป็นป้ายรถสุดสาย จากตรงนั้น เพียงเดิน 5 นาทีคุณก็จะมาถึงจุดชมวิวที่มีชื่อมากที่สุดของคามิโคจิ นั่นคือสะพานกัปปะ (河童橋 Kappabashi) รอบๆ สะพานกัปปะนี้คุณจะได้วิวชั้นเยี่ยมของแนวเทือกเขาโฮทากะโดยมีแม่น้ำอาซุสะไหลผ่านอยู่เบื้องหน้าคุณ ที่จริงแล้วคุณสามารถเดินลงไปยังริมฝั่งแม่น้ำและเล่นน้ำได้ด้วย แต่ระวังนิดนึงเพราะน้ำในฤดูใบไม้ร่วงนั้นค่อนข้างหนาวทีเดียว
ต้นสน Larch ของคามิโคจิในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Japanmase)
อีกจุดวิวสวยใกล้ๆ ท่ารถบัสคามิโคจิคือบรรดาต้นสน Larch (カラマツ karamatsu) ที่เรียงกันไปตามริมตลิ่งแม่น้ำอาซุสะ เพียงเดินประมาณ 10 นาทีจากท่ารถบัสไปยังบึงไทโช (อยู่ทิศตรงข้ามกับสะพานกัปปะ) คุณก็จะมาถึงที่โล่งกว้างซึ่งมีต้นสน Larch ยืนต้นเป็นแนวตรงไปตามริมตลิ่งแม่น้ำ แม่น้ำอาซุสะในบริเวณนี้จะตื้นและคุณสามารถเดินข้ามไปยังบริเวณพื้นก้อนกรวดที่อยู่อีกฝั่งได้
ในฤดูใบไม้ร่วง ต้นสน Larch ที่นี่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดสวย ซึ่งเป็นภาพที่สวยสะกดสายตาทีเดียว ยิ่งเมื่อรวมกับภูเขาที่เป็นฉากหลังและท้องฟ้าสีครามแล้ว วิวที่นี่เป็นวิวชั้นเยี่ยมที่บรรดานักท่องเที่ยวมักจะพลาดกันเพราะพวกเขามักจะมุ่งหน้าไปที่สะพานกัปปะกันเป็นหลัก เพราะงั้นตัวคุณเองก็ห้ามพลาดเลยนะ!
บริเวณบึงไทโช (Taisho Pond area)
ช่วงชมใบไม้แดง: กลาง-ปลายเดือนตุลาคม (ต่างกันไปในแต่ละปี)
บึงไทโชในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
แม้ว่าคนส่วนมากจะลงรถกันที่ท่ารถบัสคามิโคจิเมื่อมาเที่ยวคามิโคจิ แต่ฉันมีเกร็ดมาฝากสำหรับคนที่กำลังมองหาวิวฤดูใบไม้ร่วง นั่นคือให้ลงรถที่ป้าย Taisho-ike แทนแล้วเดิน 1 ชั่วโมงไปตามทางเดินราบจากบึงไทโช (大正池 Taishō-ike) ไปที่สะพานกัปปะ ฉันแนะนำเส้นทางนี้เป็นอย่างยิ่งเพราะเส้นทางนี้มีวิวสวยตระการตา อีกทั้งทางเดินยังถูกปูให้เดินง่าย แถมอากาศยังเย็นสดชื่นเพราะเป็นเส้นทางที่ทอดไปตามแนวแม่น้ำอาซุสะด้วย
อีกเคล็ดลับหนึ่งในการเที่ยวคือ ให้เดินทางมาที่นี่ในช่วงเช้าตรู่ซึ่งจะเป็นเวลาที่ต้นไม้มีน้ำค้างเกาะเป็นประกาย พร้อมยอดเขายาเคดาเกะ (Mount Yakedake) และเทือกเขาโฮทากะ (Hotaka Mountain Range) ที่ถูกปกคลุมด้วยหมอก และผืนน้ำนิ่งสงบของบึงไทโชที่สะท้อนวิวที่สวยงามนี้ราวกับกระจก ช่วงเช้าตรู่แบบนี้นี่เองที่ทำให้เราได้เห็นส่วนหนึ่งของมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติที่คามิโคจิ ฉันเคยยืนอยู่ริมบึงแห่งนี้นานถึง 2 ชั่วโมงโดยไม่ทำอะไรนอกจากมองวิวที่ชวนให้รู้สึกสงบนี้พลางปล่อยให้จิตใจล่องลอยไป
ผืนหญ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
เรามักจะนึกถึงต้นไม้ที่เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง แต่อย่าลืมว่ายังมีหญ้าบางชนิดที่เปลี่ยนเป็นสีส้ม แดง และเหลืองสวยสะดุดตาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน คุณสามารถไปที่ทุ่งหญ้าสีส้มนี้ได้โดยเดินราว 15 นาทีจากป้ายรถบัส Taisho Pond และที่นี่เป็นสถานที่โปรดของบรรดาช่างภาพด้วย บริเวณนั้นจะมีชานไม้กว้างใหญ่ที่มีพื้นที่พอสำหรับนั่งชมวิว รวมถึงม้านั่งสำหรับนั่งพักด้วย และในฉากหลังคุณจะเห็นแนวเขาโฮทากะได้อีกด้วย
คาราซาวะเซิร์ก (Karasawa Cirque)
ช่วงชมใบไม้แดง: ปลายเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคม (ต่างกันไปในแต่ละปี)
การเดินขึ้นเขาไปยังคาราซาวะเซิร์กในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
ที่คามิโคจิ พื้นที่รอบๆ สะพานกัปปะและบึงไทโชต่างสวยงามมากๆ และสามารถเดินชมได้โดยไม่ต้องเดินเยอะนัก แต่สำหรับใครที่เป็นสายผจญภัย ฉันแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าให้เดินขึ้นเขาไปยังคาราซาวะเซิร์ก (涸沢カール Karasawa Kāru) จากสะพานกัปปะจะใช้เวลาเดิน 6 ชั่วโมงสำหรับขาไปขาเดียว แต่วิวที่นั่นสวยตระการตาแน่นอน
ฤดูใบไม้ร่วงของที่นี่นั้นวิเศษมากๆ มีแมกไม้สีสดสวยดึงดูดผู้คนจำนวนมากจากทั่วทั้งญี่ปุ่น รวมถึงกรุ๊ปทัวร์ที่มีแต่ผู้สูงอายุด้วย! จากคาราซาวะเซิร์ก คุณสามารถปีนขึ้นไปอีกเพื่อไปยังยอดเขาโอคุโฮทากะดาเกะ (Mount Okuhotakadake: ภูเขาที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ความสูง 3,190 ม.) และเขาคิตาโฮทากะ (Mount Kitahotaka: ภูเขาที่สูงที่สุดอันดับ 9 ของญี่ปุ่น ความสูง 3,106 ม.) ภูเขาทั้งสองนี้ต่างใช้เวลาปีน 3.5 ชั่วโมงจากคาราซาวะเซิร์ก
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการเดินเขาจากสะพานกัปปะไปยังคาราซาวะเซิร์กในฤดูใบไม้ร่วง ติดตามอ่านได้ในบทความก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ของฉันที่นี่
การเดินทางไปคามิโคจิ:
คามิโคจิเป็นพื้นที่ที่ห้ามไม่ให้รถส่วนตัวเข้าเพื่อรักษาความงามที่มีมาแต่เดิมของพื้นที่ไว้ ดังนั้นคุณสามารถเข้ามาที่นี่ได้ผ่านรถบัสและรถแท็กซี่ที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น โดยใช้เวลานั่งรถไฟและรถบัส (2,710 เยน ขาเดียว) ประมาณ 1.5–2 ชั่วโมงกเมืองมัตสึโมโตะมายังคามิโคจิ
④ ฮาคุบะ (Hakuba)
ต่อไปจะเป็นสถานที่หนึ่งในจังหวัดนากาโนะที่คุณพลาดไม่ได้ในฤดูใบไม้ร่วง นั่นคือฮาคุบะ (白馬 Hakuba) แม้ว่าฮาคุบะจะเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ในฤดูหนาวเนื่องจากมีหิมะปุยสวย แต่ที่นี่ก็มีวิวธรรมชาติในฤดูใบไม้ร่วงที่ชวนประทับใจด้วยเช่นกัน
ซันดันโคโยที่ฮาคุบะ (เครดิตภาพ: JR East / Akio Kobori)
สิ่งที่ต้องหาชมให้ได้เลยที่ฮาคุบะก็คือปรากฏการณ์ที่สวยงามที่เรียกว่าซันดันโคโย (三段紅葉 สีสันสามชั้นฤดูใบไม้ร่วง) โดยปกติแล้วที่ยอดเขาสูงจะเริ่มมีหิมะตกเร็ว แต่ที่ภูเขาเตี้ยๆ ที่อยู่ใกล้ๆ นั้นจะยังคงมีใบไม้แดงอยู่ ขณะที่บริเวณพื้นยังมีสีเขียว เมื่อปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น คุณจะสามารถเห็นสีสันทั้งสามชั้นได้แก่สีขาว ส้ม และเขียว
ซันดันโคโยมักจะเกิดขึ้น ณ ช่วงใดช่วงหนึ่งในเดือนตุลาคม ขึ้นอยู่กับเวลาที่มีหิมะตกบนยอดเขา แต่ถ้าคุณไม่สามารถมาชมได้ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะฮาคุบะยังมีสีสันฤดูใบไม้ร่วงสวยงามอีกมากมายให้ชมกัน
HAKUBA MOUNTAIN HARBOR
ช่วงชมใบไม้แดง: ต้น-กลางเดือนตุลาคม (ต่างกันไปในแต่ละปี)
HAKUBA MOUNTAIN HARBOR ในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Hakuba IWATAKE)
ระหว่างมาเที่ยวฮาคุบะ ที่หนึ่งที่ฉันขอแนะนำให้ทุกคนมาเที่ยวเพื่อชมวิวใบไม้ร่วงเป็นอย่างยิ่งคือที่ HAKUBA MOUNTAIN HARBOR (白馬マウンテンハーバー) โดย HAKUBA MOUNTAIN HARBOR แห่งนี้เป็นระเบียงชมวิวแบบพาโนรามาที่เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 และเป็นที่ที่ให้เราเห็นวิวภูเขาโดยรอบที่สวยชนิดหาที่เทียบไม่ได้ ตั้งแต่ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ไปจนถึงสีเขียวชอุ่มในฤดูร้อน สีโทนอุ่นสุดร้อนแรงในฤดูใบไม้ร่วง และสีขาวหิมะในฤดูหนาว ที่เยี่ยมที่สุดก็คือระเบียงนี้สามารถเข้าได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าเข้าแต่อย่างใด!
วิวจากบน HAKUBA MOUNTAIN HARBOR ในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
ตัวระเบียงนี้อยู่ห่างจากสถานีกอนโดลาโดยเดินไปถึงได้เพียง 3 นาที และที่ทางเข้าจะมีร้านเบเกอรี่ชื่อ THE CITY BAKERY อยู่ คุณต้องลองชิมมัฟฟินซินนามอนและช็อกโกแลตร้อนข้นมันที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน นอกจากความอร่อยแล้ว เมนูเหล่านี้ยังช่วยให้คุณรู้สึกอุ่นขึ้นท่ามกลางอาการหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงได้อีกด้วย การได้นั่งบนระเบียง จิบเครื่องดื่มอุ่นๆ และมองไปยังแมกไม้ที่มีสีสันของฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ ฟังดูวิเศษสุดๆ ไปเลยว่าไหม?
ฉันโชคไม่ดีนักตอนที่ไป HAKUBA MOUNTAIN HARBOR เพราะมีเมฆครึ้มในทั้งสี่ครั้งที่ฉันไป แต่ถึงอย่างนั้นฤดูใบไม้ร่วงก็ยังมีสีสันและสดสวยมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าท้องฟ้าจะมีเมฆเยอะจนบดบังวิวบรรดายอดเขาของฮาคุบะ แต่สีสันของฤดูใบไม้ร่วงก็ยังสดใสไม่มีแผ่ว โดยจะมีผืนแมกไม้สีเหลืองและส้มปกคลุมไปตามไหล่เขาให้เห็น วิวสุดพิเศษเหล่านี้ทำให้การมาที่นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ และยังมีขนมอร่อยและการเดินทางที่สะดวกเข้ามาช่วยเสริมความดีงามของที่นี่อีกด้วย
วิวฤดูใบไม้ร่วงที่เห็นได้ชัดเจนจาก HAKUBA MOUNTAIN HARBOR (เครดิตภาพ: Hakuba IWATAKE)
การเดินทางไป HAKUBA MOUNTAIN HARBOR
คุณสามารถนั่งรถบัส 1 ชั่วโมงจากสถานี Nagano ไปยังฮาคุบะได้ หรือถ้าคุณเดินทางด้วยรถไฟ ก็สามารถนั่งรถไฟไปถึงได้ใน 1–1.5 ชั่วโมงโดยนั่ง Limited Express จากสถานี JR Matsumoto หรือ 3–3.5 ชั่วโมงจากสถานี JR Nagano หรือ 3 ชั่วโมง 40 นาทีโดยนั่งรถ Limited Express ที่วิ่งตรงจากสถานี JR Shinjuku
จากท่ารถบัสฮาคุบะ นั่งรถบัสไปที่ตีนเขาอิวาทาเกะ (Mount Iwatake) จากนั้นขึ้น Iwatake Gondola Life “Noah” ไปยัง Hakuba Iwatake Mountain Resort แล้วเดินจากสถานีกอนโดลาอีก 3 นาทีก็จะถึง HAKUBA MOUNTAIN HARBOR
อุทยานธรรมชาติสึกะอิเกะ (Tsugaike Nature Park)
ช่วงชมใบไม้แดง: กลาง-ปลายเดือนกันยายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
อุทยานธรรมชาติสึกะอิเกะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: photoAC)
ถ้าคุณโอเคกับการเดินสักหน่อย ขอแนะนำอุทยานธรรมชาติสึกะอิเกะ (栂池自然園 Tsugaike Shizen’en) ด้วยที่ตั้ง ณ ระดับความสูง 1,900 ม. เหนือระดับน้ำทะเลนี้ สึกะอิเกะถือเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อุทยานมีทางเดินกระดานไม้ทำให้การเดินเขาที่นี่สบายมากๆ และมีเส้นทางเดินที่หลากหลายซึ่งใช้เวลาตั้งแต่ 1 - 3.5 ชั่วโมงเพื่อให้เข้ากับเลเวลของผู้เดินที่ต่างกันไป โดยแต่ละเส้นทางต่างให้วิวสุดอลังการของบรรดาภูเขาแห่งฮาคุบะ
นอกจากใบไม้บนต้นไม้ที่เปลี่ยนสีแล้ว ที่นี่ยังมีผืนหญ้าที่เปลี่ยนเป็นสีเฉดเหลือง ส้ม และแดงหลากสีด้วย! ระหว่างที่คุณเดินไปตามทางเดินไม้และมองไปรอบๆ คุณจะได้เห็นว่าคุณถูกล้อมไปด้วยบรรดาสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง
การเดินทางไปอุทยานธรรมชาติสึกะอิเกะ:
จากท่ารถบัสฮาคุบะ นั่งรถบัสไปยังตีนเขาสึกะอิเกะ (Mount Tsugaike) จากนั้นนั่ง Tsugaike Gondola Lift “Eve” ขึ้นไป จากสถานีกอนโดลาให้ต่อไปยัง Tsugaike Ropeway ที่มุ่งหน้าไปยังอุทยานธรรมชาติสึกะอิเกะ (Tsugaike Nature Park)
บึงฮัปโปะ (Happo Pond)
ช่วงชมใบไม้แดง: กลาง-ปลายเดือนกันยายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
บึงฮัปโปะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)
ถ้าคุณเป็นสายลุยขึ้นมาหน่อย มาลองเดินเขาไปยังบึงฮัปโปะ (八方池 Happо̄-ike) กันดูไหม? บึงที่สวยราวกับภาพวาดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,060 ม. และจะสวยงามเป็นพิเศษเมื่อผืนน้ำนิ่งสงบโดยมีวิวภูเขาตระการตาสะท้อนอยู่บนนั้น แม้ว่าการเดิน 90 นาทีไปยังบึงฮัปโปะนี้จะมีช่วงที่ต้องปีนขึ้นไปตามพื้นที่หินขรุขระอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นเส้นทางที่ไปได้สำหรับใครที่แข็งแรงดี
ถ้าคุณเป็นนักปีนเขาตัวยง คุณสามารถปีนอีก 3 ชั่วโมงเพื่อขึ้นไปยังยอดเขาคารามัตสึ (Mount Karamatsu) การได้เห็นสีสันฤดูใบไม้ร่วงจากบนยอดเขาเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่พิเศษสุดๆ ไปเลย และฉันแนะนำให้บรรดาคนรักธรรมชาติลองไปดูเป็นอย่างยิ่ง
การเดินทางไปบึงฮัปโปะ:
จากท่ารถบัสฮาคุบะ เดิน 10 นาทีไปยัง Happo-One Gondola Lift “Adam” แล้วนั่งกอนโดลาขึ้นไป จากนั้นต่อไปที่ Alpen Quad Lift และท้ายที่สุดให้ต่อไปยัง Grat Quad Lift หลังลงจากกอนโดลา ให้เดินอีก 90 นาทีเพื่อไปยังบึงฮัปโปะ
⑤ โทกาคุชิ (Togakushi)
บึงคางามิอิเคะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: JR East / Akio Kobori)
โทกาคุชิ (戸隠) แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าของภูเขา ณ ความสูง 1,280 ม. ซึ่งมีความงามของธรรมชาติให้ชมมากมายและถือเป็นสถานที่ชั้นเยี่ยมสำหรับหลบความวุ่นวายของเมือง ที่นี่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศชนบทชวนผ่อนคลายและวิวที่สวยงามได้ แม้ว่าโทกาคุชิจะมีชื่อเสียงเรื่องทางเดินที่ให้บรรยากาศมีมนต์ขลังซึ่งมีต้นซีดาร์ขนาบข้างและเชื่อมไปยังบรรดาศาลเจ้าทั้งหลายของศาลเจ้าโทกาคุชิ (Togakushi Shrine) แต่ที่หนึ่งที่ต้องไปให้ได้ในฤดูใบไม้ร่วงก็คือบึงคางามิอิเคะ (鏡池 Kagamiike Pond)
บึงคางามิอิเคะ (Kagamiike Pond)
ช่วงชมใบไม้แดง: ต้น-กลางเดือนตุลาคม (ต่างกันไปในแต่ละปี)
บึงคางามิอิเคะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: photoAC และ JR East / Carissa Loh)
ชื่อ “คางามิ (Kagami)” แปลว่า “กระจก” และเมื่อผืนน้ำนิ่งสงบ ตัวบึงจะสะท้อนทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงและภูเขาโทกาคุชิ (Mount Togakushi) อย่างสวยงามราวกับกระจก ข้างๆ บึงคางามิอิเคะจะมีคาเฟ่ชื่อ Donguri House ที่คุณสามารถผ่อนคลายและหาอะไรรองท้องได้ ที่นั่งบนชานระเบียงจะมีวิวบึงที่สวยงามมากๆ และเป็นทำเลชั้นเยี่ยมในการชื่นชมวิวของที่นี่ ระหว่างอยู่ที่นี่ คุณต้องลองชิมโทกาคุชิโซบะ (Togakushi Soba) หนึ่งในอาหารของนากาโนะที่ต้องลองให้ได้
การเดินทางไปโทกาคุชิ:
จากสถานี Nagano คุณสามารถนั่งรถบัสไปถึงโทกาคุชิได้ในเวลาประมาณ 1–1 ชั่วโมง 15 นาที ชั่วโมง จากป้ายรถบัส Kagamiike Iriguchi เดินต่ออีก 40 นาทีก็จะถึงบึงคางามิอิเคะ
⑥ คารุอิซาวะ (Karuizawa)
เพียงนั่งรถไฟชินกันเซ็นจากโตเกียวสั้นๆ 60 นาที หรือนั่งชินกันเซ็น 30 นาทีจากนากาโนะคุณก็จะมาถึงคารุอิซาวะ (軽井沢) แหล่งรีสอร์ทบนที่ราบสูงซึ่งตั้งอยู่ราว 1,000 ม. เหนือระดับน้ำทะเล คารุอิซาวะเป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการไปเที่ยวทั้งครอบครัวและยังมีวิวชั้นเยี่ยมอีกด้วย
คุโมบาอิเคะ (Kumobaike)
ช่วงชมใบไม้แดง: กลางเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
บึงคุโมบาอิเคะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Japanmase)
บึงคุโมบาอิเคะ (雲場池) เป็นบึงขนาดเล็กที่เดินทางไปจากสถานี JR Karuizawa ได้โดยปั่นจักรยาน 10 นาทีหรือเดิน 30 นาที แม้จะมีขนาดเล็ก แต่บึงแห่งนี้มีภาพสะท้อนท้องฟ้าและต้นไม้ที่สวยงาม และใบไม้ของต้นไม้ที่นี่เปลี่ยนเป็นเฉดสีแดงและส้มที่สวยน่าทึ่งในฤดูใบไม้ร่วง
แม้ว่าที่นี่จะไม่ได้มีหงส์ แต่บางครั้งบึงคุโมบาอิเคะก็ถูกเรียกว่า “Swan Lake” อย่างไรก็ตามที่นี่ก็มีเป็ดน่ารักๆ ที่ลงมาเล่นน้ำเย็นในบึงให้ชมกัน
ถนนคิวคารุอิซาวะ กินสะ (Kyu-Karuizawa Ginza Street)
ช่วงชมใบไม้แดง: กลางเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
ถนนคิวคารุอิซาวะ กินสะ ในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: Japanmase)
ถ้าคุณชอบการช้อปปิ้งและการเพลิดเพลินกับบรรยากาศในเมือง ไปที่ถนนคิวคารุอิซาวะ กินสะ (旧軽井沢銀座通り Kyū-karuizawa Ginza Dо̄ri) กันเลย ถนนเส้นนี้เป็นถนนย่านช้อปปิ้งหลักของคารุอิซาวะ เดินทางจากสถานี Karuizawa ไปได้โดยนั่งรถบัส 5 นาทีหรือเดิน 30 นาที บรรดาอาคารของถนนสายนี้ให้บรรยากาศแนวตะวันตกและมีคาเฟ่และร้านเบเกอรี่มากมายกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ
ถนนคิวคารุอิซาวะ กินสะนี้จะสวยงามน่าถ่ายรูปเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่ใบไม้บนต้นไม้ผลัดเป็นเฉดสีแดงและลมที่สดใสสะดุดตา คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับสีสันฤดูใบไม้ร่วงได้ระหว่างช้อปปิ้งและเดินเล่นไปตามถนน หรือระหว่างหาอะไรทานเล่น หรือระหว่างซึมซับบรรยากาศ!
คารุอิซาวะมีชื่อเสียงเรื่องขนมปังและขนมอบทั้งหลาย ดังนั้นฉันขอแนะนำให้แวะไปร้านเบเกอรี่เพื่อซื้อขนมปังมาสักก้อนและอร่อยกับมันระหว่างเดินสบายๆ ไปตามถนน
Karuizawa Prince Shopping Plaza
ช่วงชมใบไม้แดง: กลางเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน (ต่างกันไปในแต่ละปี)
สีสันฤดูใบไม้ร่วงที่ Karuizawa Prince Shopping Plaza (เครดิตภาพ: Japanmase)
ถ้าคุณยังช้อปปิ้งไม่หนำใจ ไปต่อกันที่ Karuizawa Prince Shopping Plaza ห้างฯ Outlet ขนาดใหญ่ที่รวมร้านค้ากว่า 200 ร้านและตั้งอยู่ติดๆ กับสถานี JR Karuizawa
ห้างฯ Outlet แห่งนี้แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกขุดขึ้น สนามหญ้า และต้นไม้หลากสีสัน ที่นี่คุณสามารถชมใบไม้แดงได้จากในห้างฯ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กหรือใครที่ไม่อยากเดินมากนัก
การเดินทางไปคารุอิซาวะ:
คุณสามารถเดินทางไปสถานี JR Karuizawa (軽井沢駅) ได้โดยนั่ง Hokuriku Shinkansen จากสถานี Tokyo 60 นาที หรือนั่ง Hokuriku Shinkansen 30 นาทีจากสถานี Nagano
ปิดท้าย
จังหวัดนากาโนะเป็นแหล่งรวมวิวฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามมากมาย และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานที่โปรดของฉันเท่านั้น แต่นากาโนะยังมีอีกหลายที่ให้ไปกัน คุณอยากจะไปที่ไหนเป็นที่ต่อไปกันบ้างเอ่ย? รอติดตามตอนที่ 2 ของซีรี่ส์ฤดูใบไม้ร่วงในชินเอ็ทสึกันได้ ซึ่งในตอนต่อไปนี้ฉันจะมาแนะนำจุดท่องเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงชั้นเยี่ยมในจังหวัดนีงาตะกัน!
JR EAST PASS (Nagano, Niigata area)
ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) และพื้นที่ที่ครอบคลุม (เครดิตภาพ: JR East)
ถ้าคุณกำลังคิดเรื่องเที่ยวภูมิภาคชินเอ็ทสึอยู่ล่ะก็ ขอแนะนำ JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) ตั๋ว Pass ราคาย่อมเยาที่ให้คุณนั่งรถไฟบนทางรถไฟของ JR East ได้อย่างไม่จำกัดเที่ยว (รวมถึงชินกันเซ็น) ในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ด้วยราคาเพียง 18,000 เยนเท่านั้น ตั๋วนี้จึงมีราคาถูกกว่าค่าเดินทางไป-กลับระหว่างสนามบินนาริตะและมัตสึโมโตะ (~19,500 เยน) คุณยังสามารถจองที่นั่งบนรถไฟชินกันเซ็น รถด่วนพิเศษบางขบวน และรถไฟ Joyful Train บนช่องทางออนไลน์ล่วงหน้านานถึง 1 เดือนได้ฟรีที่นี่
ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) สามารถใช้กับประตูอัตโนมัติได้ และผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถใช้ตั๋วนี้ได้ด้วย
เครดิตภาพส่วนหัว: Japanmase, Hakuba IWATAKE
Translated by ANNGLE