แพลนเที่ยวโฮคุริคุ 7 วัน: ทริปที่เต็มไปด้วยวิวสวยตรึงใจ ทองคำ และไดโนเสาร์
อัปเดตเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2023
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2021
นักท่องเที่ยวหลายคนที่มาเยือนญี่ปุ่นมักจะนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวไปโอซาก้ากันโดยที่ไม่ได้แวะชมสิ่งน่าสนใจในแถบโฮคุริคุเลย แต่หลังจากที่รถไฟ Hokuriku Shinkansen (北陸新幹線) เปิดตัวในปี 2015 เส้นทางเที่ยวเส้นทางใหม่ก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และการท่องเที่ยวโฮคุริคุก็ง่ายขึ้นกว่าที่เคย โฮคุริคุ (北陸) เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในชายฝั่งตอนเหนือของภาคกลางญี่ปุ่นซึ่งหันหน้าไปทางทะเลญี่ปุ่นและประกอบไปด้วยสามจังหวัดได้แก่โทยามะ (富山県 Toyama-ken) อิชิคาว่า (石川県 Ishikawa-ken) และฟุคุอิ (福井県 Fukui-ken)
การเดินทางไปญี่ปุ่นคนเดียวครั้งแรกของฉันคือในปี 2011 และในต้นปี 2020 ในที่สุดฉันก็ได้ไปเที่ยวทั้ง 47 จังหวัด แต่เสน่ห์ของ Hokuriku ก็ยากจะลืมเลือนจนฉันจัดทริปคนเดียว 2 ครั้งแรกไปที่ Hokuriku ในทริปแรกของฉัน ฉันไปที่จังหวัดโทยามะและเมืองคานาซาวะ (ในจังหวัดอิชิกาวะ) ส่วนเที่ยวที่สองเป็นทริปในจังหวัดฟุคุอิ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็กลับไปกลับมาอีกห้าครั้ง ฉันมีประสบการณ์ส่วนตัวว่า Hokuriku นั้นสะดวกกว่ามากเมื่อ Hokuriku Shinkansen เปิดทำการ และสามารถนำคุณจากโตเกียวไปยัง Kanazawa ได้ในเวลาเพียง 2.5 ชั่วโมงเท่านั้น เปิดให้บริการ การเดินทางจากโตเกียวไปยังคานาซาว่าอาจใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมง
ในบทความนี้ฉันได้เตรียมแพลนทริป 7 วันที่อัดแน่นไปด้วยลิสต์สิ่งที่ฉันแนะนำเป็นการส่วนตัวในการเที่ยวภูมิภาคสุดพิเศษแห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์สวยงาม อาหารทะเลรสเลิศ และไฮไลท์พิเศษเฉพาะท้องถิ่นเช่นทองคำและไดโนเสาร์! แพลนทริปนี้จะพาคุณเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้าผ่านเส้นทาง Hokuriku Arch ซึ่งเป็นแพลนที่เที่ยวได้โดยการนั่ง Hokuriku Shinkansen และเราจะใช้ตั๋ว Hokuriku Arch Pass ตั๋ว Pass อายุ 7 วันที่ใช้ขึ้นรถไฟ Hokuriku Shinkansen รถไฟสาย JR East และสาย JR West (รวมถึงชินกันเซ็นอื่นๆ) ได้อย่างไม่จำกัดตลอดระยะเวลา 7 วันติดกัน
วันที่ 1: โตเกียว → คารุอิซาว่า → นากาโนะ
คารุอิซาว่า
ในวันแรกของทริปนี้ เราจะมุ่งหน้าไปยัง Karuizawa (軽井沢 Karuizawa) สถานที่ตากอากาศบนที่สูงที่สามารถเข้าถึงได้จากโตเกียวในเวลาเพียง 60 นาทีโดย Shinkansen ที่ความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล อิซาวะเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็นสบายในฤดูร้อน ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวโตเกียว
เดินเล่นเพลินๆ ตามถนน Kyu-Karuizawa Ginza (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
บรรดาอาคารต่างๆ ตามถนน Kyu-Karuizawa Ginza (旧軽井沢銀座通り Kyū-karuizawa Ginza Dо̄ri) จะมีบรรยากาศอาคารแบบตะวันตกอยู่และมีคาเฟ่และร้านเบเกอรี่หลายร้านอยู่ตามที่ต่างๆ ขณะที่คุณเดินไปตามท้องถนน ลองหาร้านที่มีรูปปั้นเมอร์ไลออนดูนะ
สายช้อปจะต้องชอบ Karuizawa Prince Shopping Plaza ในคารุอิซาว่าแน่นอน ที่นี่เป็นห้างฯ Outlet ขนาดใหญ่ที่มีร้านค้ากว่า 200 ร้าน ทั้งยังตั้งอยู่ข้างสถานี JR Karuizawa อีกด้วย
น้ำตกชิราอิโตะ (Image credit: JR East / Carissa Loh)
คนรักธรรมชาติสามารถนั่งรถบัส 30 นาทีเพื่อไปยังน้ำตกชิราอิโตะ (白糸の滝 Shiraito-no-taki) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของคารุอิซาว่าได้ ชิราอิโตะมีความหมายว่า “เส้นด้ายสีขาว” และสายน้ำที่ไหลลงมานั้นดูเหมือนเส้นด้ายสีขาวนับสิบที่ไหลลงมาก็ไม่ปาน
บึงคุโมะบาอิเคะเป็นจุดที่เหมาะกับการนั่งชื่นชมธรรมชาติอย่างเงียบๆ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
บึงคุโมะบาอิเคะ (雲場池 Kumoba-ike) มีอีกชื่อหนึ่งคือ Swan Lake แม้ว่าที่บึงนี้จะไม่มีหงส์อาศัยอยู่เลยก็ตาม คุณสามารถเดิน 30 นาทีหรือปั่นจักรยาน 10 นาทีจากสถานี JR Karuizawa มาที่นี่ได้ โดยที่นี่มีวิวบึงที่สะท้อนท้องฟ้าและต้นไม้โดยรอบไว้อย่างสวยงาม
นากาโนะ
หลังจากแวะพักที่คารุอิซาว่า เราจะเดินทางกันต่อไปที่นากาโนะ (長野) ที่นั่งชินกันเซ็นเพียง 30 นาทีถึง เมืองนากาโนะเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่เป็นสถานที่จัด Winter Olympics เมื่อปี 1998 และในอดีตเป็นเมืองวัดที่สร้างขึ้นรอบๆ วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji) ที่เก่าแก่
วัดเซ็นโคจิเป็นวัดที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมืองนากาโนะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เมืองหลายเมืองในญี่ปุ่นต่างเคยเป็นเมืองที่ล้อมรอบปราสาทมาก่อน แต่นากาโนะเป็นเมืองวัดที่ถูกสร้างขึ้นรอบๆ วัดเซ็นโคจิ (善光寺 Zenkо̄ji) โดยวัดเซ็นโคจิเป็นวัดที่ถูกก่อตั้งเมื่อศตวรรษที่ 7 และเป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกอัญเชิญเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
วัดเซ็นโคจิ (善光寺)
ที่อยู่: 491-i Nagano-Motoyoshicho, Nagano-shi, Nagano 380-0851
การเดินทาง: ออกที่ประตู West Exit ของสถานี JR Nagano แล้วนั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Zenkoji-Daimon จากนั้นเดินอีก 5 นาทีก็ถึงวัด
วันที่ 2: นากาโนะ → เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ → โทยามะ
เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ
เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ เป็นเส้นทางที่มีวิวภูเขาและธรรมชาติที่อลังการ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Tateyama Kurobe Alpine Route, 立山黒部アルペンルート) เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสุดประทับใจที่ทอดตัวผ่านแนวเทือกเขาทาเทยามะ (Tateyama) ซึ่งตั้งอยู่ ณ เส้นแบ่งพื้นที่จังหวัดนากาโนะและจังหวัดโทยามะ เพื่อเดินทางตลอดเส้นทางระหว่างโอกิซาว่า (Ogizawa) และทาเทยามะ คุณจะต้องโดยสารพาหนะถึงหกอย่าง โดยวิวตระการตาที่คุณสามารถเห็นได้ตลอดเส้นทางนั้นต่างเป็นวิวที่คุณต้องมาเห็นให้ได้สักครั้งในชีวิต
การเดินทางระหว่างนากาโนะและโทยามะผ่าน เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ (Image credit: JR East)
(วนตามเข็มนาฬิกาจากภาพบน )Murodo ในปี 2017 , ปี 2014 และปี 2011 (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ มักเปิดให้ท่องเที่ยวตั้งแต่กลางเดือนเมษายนจนถึงปลายพฤศจิกายนในทุกปี ตลอดเส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ นี้มีอะไรให้ชมมากมายในแต่ละฤดู และฉันแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าคุณควรมาที่นี่อย่างน้อยสองครั้ง ครั้งหนึ่งเพื่อชมกำแพงหิมะสูง 10-20 เมตร (雪の大谷 Yuki no О̄tani) และอีกครั้งหนึ่งเพื่อชมสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง
ห้ามพลาด บทความต่อไปของฉันที่จะออก ซึ่งในบทความนั้นฉันจะแนะนำสิ่งที่คุณสามารถชมและกิจกรรมที่ทำได้ตามเส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ ภาพวิวที่คุณสามารถชมได้ในฤดูต่างๆ รวมถึงเส้นทางเดินเขาต่างๆ ด้วย
หลังจากผ่านเส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ-คุโรเบะ มาเรียบร้อย คุณก็จะมาถึงโทยามะที่เราจะใช้เป็นที่ค้างคืนอยู่สองคืน
อาหารทะเลสุดหรูของโทยามะ
จานซูชิที่รวมอาหารทะเลของโทยามะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ด้วยทำเลที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) และแหล่งทะเลน้ำลึกที่อุดมสมบูรณ์ของอ่าวโทยามะ (富山湾 Toyama-wan) ทำให้จังหวัดโทยามะเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลที่อร่อยมากมาย โดยเฉพาะหมึกและกุ้ง ที่อ่าวโทยามะนี้กระแสน้ำอุ่นสึชิมะจะมาบรรจบกับกระแสน้ำลึกที่เย็น เกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยแพลงก์ตอนซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของปลาส่วนมาก นอกจากนี้อ่าวโทยามะยังตั้งอยู่ใกล้เมืองด้วย ทำให้ปลาที่ถูกส่งไปยังร้านอาหารยังคงความสดไว้ได้มาก
เมื่อคุณมาเที่ยวโทยามะ อาหารทะเลสดๆ คือเมนูที่คุณต้องลองชิมซึ่งเมนูที่เหมาะที่สุดสำหรับการชิมคือซูชิและซาชิมิ ร้านอาหารหลายแห่งมักเสิร์ฟซูชิที่มีจุดเด่นคือปลาที่จับได้ในวันนั้น และนี่เป็นวิธีหนึ่งที่เราจะได้อร่อยกับอาหารตามฤดูกาล
มาสุซูชิ (เครดิตรูปภาพ: とやま観光推進機構)
อีกหนึ่งอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโทยามะและยังเป็นเมนูยอดฮิตพอๆ กับเอกิเบน (駅弁, ข้าวกล่องสำหรับรับประทานบนรถไฟ) ก็คือมาสุซูชิ (ます寿し) ซูชิปลาเทราต์หมักที่วางบนข้าวหมักและห่อด้วยใบไผ่ อาหารพื้นบ้านนี้มักจะเสิร์ฟในกล่องทรงกลมคล้ายเค้ก ดูเป็นอาหารที่หน้าตาน่าสนใจทีเดียวเลยว่าไหมคะ? นอกจากนี้ มาสุซูชิยังเป็นของฝากที่มีชื่อของโทยามะและสามารถหาซื้อได้ตามสถานีรถไฟ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านที่จำหน่ายมาสุซูชิโดยเฉพาะที่กระจายอยู่รอบๆ เมือง
(ซ้าย) ปลาหมึกหิ่งห้อยที่ส่องทะเลให้สว่าง และ (ขวา) มื้อเช้าที่เสิร์ฟปลาหมึกหิ่งห้อย (เครดิตรูปภาพ: とやま観光推進機構 (ซ้าย) และ JR East / Carissa Loh (ขวา))
อย่างหนึ่งที่คุณต้องลองชิมในโทยามะคือปลาหมึกหิ่งห้อย (ホタルイカ hotaru ika) ชื่อปลาหมึกขนาดเล็กเหล่านี้มีที่มาจากความสามารถในการเรืองแสงของพวกมันซึ่งทำให้พวกมันดูเหมือนหิ่งห้อยที่คอยส่องแสงตลอดแนวยาวชายฝั่งที่ยาว 14 กิโลเมตรของอ่าวโทยามะ
เดือนมีนาคมจนถึงมิถุนายนเป็นช่วงที่ปลาหมึกหิ่งห้อยจะขึ้นมาใกล้บริเวณชายฝั่ง และถ้าคุณมาที่เมืองนาเมริคาว่า (Namerikawa City) (นั่งรถไฟสาย Ainokaza Toyama Railway จากโทยามะ 15 นาทีถึง) ในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงพฤษภาคม คุณสามารถนั่งเรือทัวร์ในช่วงเช้าตรู่เพื่อไปชมปลาหมึกเหล่านี้ใกล้ๆ ได้อีกด้วย ในทัวร์นั่งเรือนี้คุณจะได้เห็นน้ำทะเลมีแสงสีฟ้าเรืองแสงวิบวับ นี่เป็นภาพที่ฉันอยากเห็นมานานแต่ยังไม่ได้มีโอกาสเห็นด้วยตาตัวเองสักทีเพราะฉันไม่เคยมาถูกฤดูกาลเลย เพราะฉะนั้นถ้าคุณมาเที่ยวโทยามะช่วงเดือนมีนาคมจนถึงพฤษภาคมก็มาชมให้ได้นะ!
จากซ้ายไปขวา: คุโรสุกุริที่เสิร์ฟอยู่ตามร้านอาหาร และคุโรสุกุริที่ซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ถ้าคุณกำลังอยากลองอะไรแปลกใหม่ ลองชิมคุโรสุกุริ (黒作り) ดูไหม? เมนูนี้ทำจากปลาหมึกที่หมักกับน้ำหมึกของปลาหมึกและตับปลาหมึก อาหารโทยามะจานนี้เหมาะสำหรับใช้ราดข้าวสวยหรือใช้เป็นกับแกล้มเวลาดื่มสาเกได้ ตอนที่ฉันลองคุโรสุกุริเป็นครั้งแรก ฉันก็ติดใจในทันทีและนับจากนั้นฉันก็ตั้งใจว่าจะต้องกินเมนูนี้ทุกครั้งที่ไปเที่ยวโทยามะ
วันที่ 3: โทยามะ → โกคายามะ → โทยามะ
โกคายามะ
บ้านกัชโชสุกุริของโกคายามะที่ดูเหมือนกระท่อมในเทพนิยาย (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
คุณอาจจะเคยได้ยินชื่อหมู่บ้านชิราคาวะโกในจังหวัดกิฟุ แต่คุณรู้ไหม? ว่าที่แหล่งมรดกโลกที่มีบ้านกัชโชสุกุริ (合掌造り gasshо̄zukuri) นั้นประกอบด้วยพื้นที่สองแห่งด้วยกัน ได้แก่ ชิราคาวะโกในจังหวัดกิฟุและโกคายามะ 五箇山 Gokayama) ในจังหวัดโทยามะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักไปที่ชิราคาวะโกกัน แต่สำหรับฉันที่เคยไปมาทั้งสองที่ ฉันแนะนำให้คุณมาโกคายามะเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าที่นี่จะเล็กกว่าและค่อนข้างห่างไกลกว่าด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนเนินเขา แต่หมู่บ้านโกคายามะแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีบรรยากาศสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
บ้านกัชโชสุกุริของโกคายามะในฤดูกาลต่างๆ (เครดิตรูปภาพ: とやま観光推進機構)
บ้านกัชโชสุกุริมีลักษณะเด่นคือหลังคาสามเหลี่ยมทรงสูงที่ดูเหมือนมือที่พนมกัน ที่จริงลักษณะที่ว่านี้เองที่เป็นที่มาของชื่อ กัชโช (合掌 gasshо̄) หมายถึงการพนมมือกันเพื่อสวดมนต์ และด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณภูเขา ที่นีจึงมีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ซึ่งรูปทรงของหลังคานี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หิมะตกทับถมจนบ้านถล่มนั่นเอง
แม้ในวันฝนตกภาพบรรยากาศที่นี่ก็ยังสวยงาม (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ในโกคายามะแห่งนี้มีหมู่บ้านอยู่สองแห่ง ได้แก่ไอโนะคุระ (相倉 Ainokura) ที่มีบ้าน 20 หลังและสุกะนุมะ (菅沼 Suganuma) ที่มีบ้าน 9 หลัง การเดินทางไปยังที่นี่อาจจะใช้เวลาหน่อยแต่คุ้มค่าแก่การมาแน่นอน เพราะบรรดาบ้านที่นี่นั้นดูเหมือนกระท่อมในเทพนิยายทีเดียวและคุณจะหลงเสน่ห์หมู่บ้านแห่งนี้แน่นอน! ในฤดูร้อนบ้านกัชโชสุกุริที่อยู่ท่ามกลางทุ่งนาสีเขียวและมีภูเขาเป็นฉากหลังนั้นดูสวยงามราวกับภาพวาดทีเดียว
บ้านโดยส่วนมากเป็นบ้านที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และส่วนมากได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และที่พัก โดยบ้านเหล่านี้ได้รับการบำรุงซ่อมแซมเป็นประจำซึ่งหลังคาที่ทำจากไม้ซีดาร์มักถูกสร้างใหม่ทุกๆ สิบปีโดยประมาณ
ภายในพิพิธภัณฑ์ Ainokura Folk Museum #2 (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
มีบ้านอยู่สองหลังที่ถูกปรับปรุงใหม่เป็นพิพิธภัณฑ์ให้เราได้ชมความเป็นอยู่ของชีวิตชนบทในเมื่อหลายศตวรรษก่อน ภายในพิพิธภัณฑ์มีวิดิทัศน์เกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านให้เราได้ชม และคุณยังสามารถขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อไปชมโครงสร้างภายในของหลังคาได้ใกล้ๆ นอกจากนี้ยังมีอิโรริ (เตาผิง) ที่ผู้คนในอดีตมักนั่งล้อมรอบเพื่อกินอาหารร่วมกันอยู่ คุณยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่มีเอกล้กษณ์เฉพาะตัวของบ้านและชุมชนแห่งนี้ได้ เช่นเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่เรียกว่าซาซาระและโกกิริโกะ (เครื่องดนตรีในรูปขวาบนและขวาล่าง)
การเดินทาง: จากสถานี JR Toyama (富山駅) นั่งรถไฟ Hokuriku Shinkansen 10 นาทีไปยังสถานี JR Shin-Takaoka (新高岡駅) และจากสถานี Shin-Takaoka นั่งรถบัส Kaetsuno ไอคุรากุจิ (63 นาที) หรือสุกะนุมะ (78 นาที)
เมืองโทยามะ
หลังกลับมาที่เมืองโทยามะก็มาชมวิวรอบๆ เมืองโทยามะกัน ปัจจุบันมีแคมเปญที่เปิดให้นักท่องเที่ยวซึ่งค้างคืนที่เมืองโทยามะสามารถรับตั๋วฟรีสำหรับใช้ขึ้นรถรางของเมือง คุณสามารถติดต่อที่แผนกต้อนรับของโรงแรมของคุณเพื่อเช็คว่าเราสามารถขอตั๋วได้หรือไม่
เพลิดเพลินไปกับการนั่งเรือล่องคลองหรือเดินชิลรอบๆ สวน Fugan Canal Kansui (เครดิตรูปภาพ: とやま観光推進機構 (ซ้าย) และ JR East / Carissa Loh (ขวา))
หนึ่งในจุดพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมคือสวน Fugan Canal Kansui (富岩運河環水公園 Fugan Unga Kansui Kо̄en) ที่สามารถเดินถึงได้ใน 8 นาทีจากสถานี Toyama ในวันที่อากาศแจ่มใส คุณสามารถเห็นแนวภูเขาทาเทยามะได้ไกลๆ และคนรักกาแฟจะต้องชอบที่นี่แน่นอนเพราะที่นี่มีร้าน Starbucks สุดเก๋ที่มีกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ที่สูงจากพื้นจนถึงเพดาน ทั้งยังมีที่นั่งกลางแจ้งให้นั่งชมวิวคลองได้ ในบางวันจะมีการเปิดไฟบริเวณคลองนี้อย่างสวยงามอีกด้วย
Fugan Canal Kansui Park (富岩運河環水公園)
ที่อยู่: Minato Irifune-cho, Toyama-shi, Toyama 930-0805
การเดินทาง: เดิน 9 นาทีจากสถานี Toyama
Toyama Glass Art Museum
อาคาร Toyama Kirari เป็นอาคารที่มีพิพิธภัณฑ์ Toyama Glass Art Museum อยู่ข้างใน (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
อีกจุดท่องเที่ยวที่ต้องไปให้ได้ในเมืองโทยามะคือพิพิธภัณฑ์ Toyama Glass Art Museum (富山市ガラス美術館, Toyama-shi Garasu Bijutsukan) ที่มีทั้งนิทรรศการชั่วคราวและนิทรรศการประจำให้ชมกัน ในนิทรรศการจะมีการจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยที่ทำจากแก้ว และถ้ามาที่นี่ก็ห้ามพลาด "Glass Art Garden: Chihuly Experience" ที่ตั้งอยู่บนชั้น 6 ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบจัดวาง (Installation Art) ที่สร้างสรรค์โดย Dale Chihuly ศิลปินนักเป่าแก้วแนวหน้า ซึ่งนิทรรศการนี้เป็นนิทรรศการที่น่าทึ่ง เต็มไปด้วยสีสัน และควรค่าแก่การมาชมเป็นอย่างยิ่งถ้าคุณมาเที่ยวเมืองโทยามะ ตัวอาคาร Toyama Kirari ที่ออกแบบอย่างหรูหราและเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Toyama Glass Art Museum นั้นเป็นอาคารที่มีพื้นที่โถงตรงกลางซึ่งจัดเป็นแนวเอียงกับช่องหน้าต่างบนหลังคาและเปิดให้มีแสงธรรมชาติเข้ามาในอาคารอย่างเต็มที่ นอกจากนี้พื้นที่โถงยังตกแต่งด้วยกระดานไม้ซีดาร์ที่ให้โทนสีอบอุ่น ทั้งยังเป็นที่ตั้งหอสมุดสาขาหลักของเมืองโทยามะอีกด้วย
Toyama Glass Art Museum (富山市ガラス美術館)
ที่อยู่: 5-1 Nishicho, Toyama-shi, Toyama 930-0062
การเดินทาง: จากสถานี Toyama นั่งรถรางประจำเมืองมุ่งหน้าไปทาง Minami-Toyama-Ekimae และลงที่ป้าย Nishicho จากนั้นเดินอีก 1 นาทีก็จะถึงพิพิธภัณฑ์
วันที่ 4: โทยามะ → คานาซาว่า
เมืองคานาซาว่า
ด้านนอกสถานี JR Kanazawa (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
จากโทยามะ นั่งรถไฟ Hokuriku Shinkansen ไปยังคานาซาว่า (金沢, Kanazawa) เมืองหลักของจังหวัดอิชิคาว่า หนึ่งในอย่างแรกที่คุณจะได้เห็นหลังเดินออกจากสถานีรถไฟคือซุ้มประตูไม้โทริอิสวยงามขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่นอกสถานี คานาซาว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่จุดท่องเที่ยวส่วนมากล้วนมีรถ KANAZAWA LOOP BUS วิ่งถึง นอกจากนี้รถบัสดังกล่าวยังมีตั๋วขึ้นรถแบบไม่จำกัดตลอดเวลา 1 วันในราคาเพียง 800 เยน
สวนเคนโรคุเอน
สวนเคนโรคุเอนเป็นสวนที่มีความสวยงามตลอดปี (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
สวนเคนโรคุเอน (兼六園 Kenrokuen) เป็นหนึ่งในสามสวนที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น (日本三名園 Nihon Sanmeien) และเป็นสวนสวยงามที่คนมาคานาซาว่าต้องมาให้ได้ สวนเคนโรคุเอนเป็นสวนที่รวมหกองค์ประกอบท่ีทำให้สวนแห่งหนึ่งเป็นสวนที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา จุดนี้ถูกสะท้อนให้เห็นผ่านชื่อของสวนที่มีความหมายว่า “สวนที่รวมหกลักษณะไว้ด้วยกัน”
ฉันมักจะมาใช้เวลาเป็นชั่วโมงที่นี่ สวนทั้งสวนถูกจัดวางเป็นอย่างดี และองค์ประกอบทั้งหมดของสวนต่างช่วยเสริมและสร้างสมดุลให้กันอย่างไร้ที่ติ สวนเคนโรคุเอนเป็นสวนที่มีภูมิทัศน์สวยงามตลอดทั้งปีโดยมีบ่อน้ำสะอาดใสสะท้อนเงาต้นไม้และท้องฟ้า และในฤดูใบไม้ผลิดอกซากุระที่นี่จะผลิดอกสีชมพูอ่อน ทำให้สวนแห่งนี้เป็นหนึ่งในจุดชมซากุระยอดนิยมของจังหวัด
สวนเคนโรคุเอนที่มียุคิสึริคอยปกป้องต้นไม้และ Kotoji Toro ที่อยู่ทางซ้าย (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
คานาซาว่าเป็นเมืองที่อยู่ในชายฝั่งตอนเหนือ ทำให้ดอกซากุระที่นี่บานช้า (ช่วงต้น-กลางเมษายน) และในฤดูหนาวที่นี่จะมีหิมะตกหนัก ถ้าคุณมาที่นี่ในฤดุหนาว คุณจะได้เห็นโครงสร้างที่เรียกว่ายุคิสึริ (雪吊り) อยู่ตามต้นสน โครงสร้างเหล่านี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หิมะตกลงมาทับถมบนต้นไม้ซึ่งอาจทำให้ต้นไม้ที่บอบบางเหล่านี้เสียหายได้
สวนเคนโรคุเอน (兼六園)
ที่อยู่: 1 Kenroku-machi, Kanazawa-shi, Ishikawa 920-0936
การเดินทาง: จากสถานี JR Kanazawa นั่งรถบัส KANAZAWA LOOP BUS มาลงที่ป้าย Kenrokuen Garden・Kanazawa Castle Park
เมืองที่มีทองคำอยู่ทุกหนแห่ง
ลองกิจกรรมปิดทองคำเปลวบนตะเกียบ หรือชิมไอศกรีมที่มาพร้อมกับทองคำเปลว (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
พูดถึงคานาซาว่าก็ต้องนึกถึงทอง ซึ่งแม้แต่ชื่อของเมืองเองก็ยังมีคันจิคำว่าทอง (金) อยู่ในนั้นเลย คานาซาว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องทองคำและศิลปะการทำทองคำเปลวเป็นอย่างมาก ทองคำเปลว (金箔 kinpaku) คือแผ่นทองคำบางๆ ที่ทำขึ้นโดยการตีทองให้เป็นแผ่นที่มีความหนาเพียง 0.1–0.125 ไมโครเมตรเท่านั้น ปัจจุบันคานาซาว่าเป็นแหล่งผลิตทองคำเปลวมากถึง 99% ของทองคำเปลวในญี่ปุ่น คุณรู้ไหม? ว่าอาคารสีทองของวัดคินคาคุจิ (金閣寺 Kinkakuji) ชื่อดังในเกียวโตและโทโชกุในนิกโกนั้นถูกปิดด้วยทองคำเปลวอร่ามสวยงามของคานาซาว่านั่นเอง
เมื่อคุณมาเที่ยวคานาซาว่า คุณสามารถลองทำกิจกรรมปิดทองคำเปลว เช่นปิดทองคำเปลวตกแต่งตะเกียบ โปสต์การ์ด กล่อง และสิ่งของอื่นๆ ได้โดยการปิดทองคำเปลวลงบนสิ่งของที่ต้องการตกแต่งเท่านั้น และคุณยังสามารถลองชิมทองคำเปลวได้อีกด้วยโดยการชิมซอฟต์ครีมปิดทองคำเปลวที่ทุกคนต้องถ่ายลงอินสตาแกรม
วัดเมียวริวจิ วัดเจ้าของฉายา “วัดนินจา”
วัดเมียวริวจิเป็นวัดที่เป็นที่รู้จักในนามวัดนินจา (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
วัดเมียวริวจิ (妙立寺 Myо̄ryūji) หรือที่ทั่วไปรู้จักกันในนาม “วัดนินจา (忍者寺 Ninja-dera)” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดเท่ที่คุณจะได้สนุกตื่นเต้นไปกับห้องลับที่ถูกซ่อนไว้และกลไกต่างๆ ในความเป็นจริงวัดนี้ไม่ได้มีนินจา แต่เป็นวัดที่เคยถูกใช้ซ่อนกองทัพของซามูไรซึ่งในอดีตการที่ซามูไรจะมีกองทัพถือเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้นวัดแห่งนี้จึงมีทางเดินลับ ห้องที่ถูกซ่อนไว้ และกับดักเพื่อป้องกันผู้บุกรุกอยู่จำนวนมาก จึงเป็นที่มาของฉายาวัดนินจา แม้ว่าวัดแห่งนี้จะดูเหมือนวัดที่มีอาคารสองชั้น แต่ที่จริงวัดเมียวริวจิมีทั้งหมดเจ็ดชั้น ห้อง 23 ห้อง และบันได 29 ชุด ถ้าไม่มีไกด์คอยนำทางฉันเองก็คงหลงอยู่ในวัดนี้แน่นอน!
ภายในอาคารวัดนั้นจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป และคุณต้องจองล่วงหน้าก่อนเท่านั้นจึงจะเข้าไปชมด้านในได้ ค่าเข้าชมอยู่ที่ 1,000 เยนและทัวร์ชมจะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ถ้าคุณไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ ทางวัดจะมีแผ่นพับฉบับภาษาอังกฤษที่บรรยายอย่างละเอียดเตรียมไว้ให้
วัดเมียวริวจิ (妙立寺)
ที่อยู่: 1-2-12 Nomachi, Kanazawa-shi, Ishikawa 921-8639
การเดินทาง: จากสถานี JR Kanazawa ต่อรถบัส KANAZAWA LOOP BUS และลงที่ป้าย Hirokoji
หมายเหตุ: ต้องจองล่วงหน้าเพื่อเข้าวัด
วันที่ 5: คานาซาว่า → ผาโทจินโบ → ฟุคุอิ
ตลาดโอมิโจ
แวะชิมอาหารทะเลที่ตลาดโอมิโจ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
วันที่ 5 นี้ เราบอกลาคานาซาว่าและมุ่งหน้าไปยังจังหวัดฟุคุอิ แต่ก่อนที่จะออกจากคานาซาว่า เรามาแวะหาอะไรกินกันสักนิดที่ตลาดโอมิโจ (近江町市場 Ōmichō Ichiba) ตลาดสดที่ใหญ่ที่สุดของคานาซาว่า ตลาดสดแห่งนี้มีร้านค้ามากกว่า 200 แผงซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านที่ขายอาหารทะเลโดยเฉพาะ
ตลาดโอมิโจ (近江町市場)
ที่อยู่: 50 Kamiomicho, Kanazawa-shi, Ishikawa 920-0905
การเดินทาง: เดิน 15 นาทีจากสถานี JR Kanazawa
ผาโทจินโบ
ผาโทจินโบที่เมืองซากาอิ จังหวัดฟุคุอิ (เครดิตรูปภาพ: 公益社団法人福井県観光連盟)
ถ้าคุณกำลังมองหาวิวอลังการ มาที่ผาโทจินโบ (東尋坊, Tо̄jinbо̄) ที่มีวิวที่ต้องมาเห็นให้ได้สักครั้ง หน้าผาขรุขระเหล่านี้เรียงตัวกันยาว 1 กิโลเมตรตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดฟุคุอิและเต็มไปด้วยเสาหินภูเขาไฟแอนดีไซต์ (Andesite) ที่ก่อตัวขึ้น รูปร่างทรงบล็อกหกเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของชั้นแนวหินที่นี่เป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่าแนวแตกเสาเหลี่ยม (Columnar Jointing) ที่เกิดขึ้นในหิน
วิวอลังการที่โทจินโบเป็นวิวที่ชวนตื่นเต้นทีเดียว (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
คุณสามารถเดินไปบนหน้าผาที่นี่ได้โดยจะมีบันไดให้คุณเดินลงไปด้านล่างเพื่อชมวิวอีกแบบของที่นี่ด้วย การได้เห็นแนวผาที่สูงชันเป็นอะไรที่ชวนใจเต้นตึกตักมาก ขอแนะนำให้คุณใส่รองเท้าที่เคลื่อนไหวคล่องตัวเพราะหินที่นี่ค่อนข้างขรุขระและอาจลื่นด้วยถ้ามีฝนตก นอกจากนี้ยังมีบริการนั่งเรือเที่ยวด้วยถ้าคุณอยากชมวิวหินผาจากทะเลด้านล่าง
การเดินทาง: จากสถานี JR Kanazawa (金沢駅) นั่งรถไฟด่วน Limited Express Shirasagi 35 นาทีไปที่สถานี JR Awara-Onsen (芦原温泉駅) และต่อรถบัส Keifuku Bus ที่มุ่งหน้าไปยัง Tojinbo และด้วยความที่เราจะโดยสาร
อาหารในฟุคุอิ
หลังเที่ยวที่ผาโทจินโบ เราก็กลับมากันที่สถานี JR Awara-Onsen และขึ้นรถด่วน Limited Express Shirasagi จากนั้นนั่งรถไฟอีก 10 นาทีเพื่อไปยังสถานี JR Fukui ซึ่งเราจะค้างคืนที่นี่สองคืน
คัตสึด้งราดซอสและคานิเมชิ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เมื่อมาถึงฟุคุอิ เมนูที่คุณต้องลองชิมคือคัตสึด้งราดซอส (ソースカツ丼 sо̄su katsudon) ข้าวที่มีท็อปปิ้งเป็นคัตสึ (カツ, หมูชุบแป้งทอด) ราดซอสสไตล์ Worcestershire สุดอร่อย คัตสึนี้มีรสสัมผัสกรุบกรอบด้านนอกและฉ่ำน้ำด้านใน และซอสก็ถูกราดมาให้อย่างจุใจทั่วทั้งคัตสึและข้าวสวย แม้ว่าเราจะหาคัตสึด้งทั่วไปกินได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่คัตสึด้งราดซอสของฟุคุอินั้นเป็นคัตสึด้งยอดฮิตที่เด่นด้วยซอสแสนอร่อย
ฟุคุอิยังมีชื่อเสียงเรื่องปูเอจิเซน (Echizen) โดยมีคานิเมชิ (かにめし Kanimeshi) เป็นเมนูเอกิเบนยอดฮิตที่สามารถหาชิมได้ตามสถานีรถไฟในฟุคุอิ เมนูนี้มีข้าวสวยที่หุงด้วยน้ำซุปปูและราดหน้าด้วยเนื้อปูหวานนุ่มฉ่ำ เอกิเบนบางเวอร์ชั่นจะวางขายเป็นกล่องรูปปูน่ารัก ถ้ามาเที่ยวที่นี่ต้องมาชิมให้ได้นะคะ
วันที่ 6: ฟุคุอิ → พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ → เอเฮจิ → ฟุคุอิ
บรรยากาศด้านนอกของสถานี JR Fukui (เครดิตรูปภาพ: 公益社団法人福井県観光連盟)
โฮก!!! ณ ด้านนอกของสถานี Fukui คุณจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นมากกลุ่มหนึ่งรอคุณอยู่ ไดโนเสาร์นั่นเอง! รู้ไหมว่าจังหวัดฟุคุอิเป็นจังหวัดที่มีการขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์มากที่สุดในญี่ปุ่น สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ถ้าพูดถึงฟุคุอิพวกเขาก็มักจะนึกถึงไดโนเสาร์เป็นอย่างแรก ตอนเด็กๆ คุณเคยดูภาพยนตร์ The Land Before Time ไหม? ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นซีรีย์ภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับไดโนเสาร์ที่ฉันชอบมาก ฉันใฝ่ฝันว่าจะได้มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์มาตลอด และฉันก็ได้ทำคามความฝันนั้นแล้วที่ฟุคุอิ
Fukui Prefectural Dinosaur Museum
หุ่น Tyrannosaurus Rex ที่เคลื่อนไหวได้รอต้อนรับคุณเข้าสู่นิทรรศการ Dinosaur World (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
มาถึงฟุคุอิทั้งที ก็ต้องห้ามพลาด Fukui Prefectural Dinosaur Museum (福井県立恐竜博物館 Fukui Kenritsu Kyо̄ryū Hakubutsukan) หนึ่งในสามพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์อันดับต้นๆ และใหญ่ที่สุดของโลก Fukui Prefectural Dinosaur Museum มีพื้นที่ทั้งหมดสี่ชั้นและนิทรรศการในนี้ก็มีคำบรรยายภาษาอังกฤษที่ละเอียดอีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์คุณจะได้ชมโครงกระดูกดึกดำบรรพ์ที่สมบูรณ์กว่า 40 ชุด รวมถึงฟอสซิลไดโนเสาร์ และหุ่น Tyrannosaurus Rex ที่เคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิตจริงซึ่งรอต้อนรับคุณเข้าสู่นิทรรศการ Dinosaur World ที่เป็นนิทรรศการหลักของพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มุ่งมั่นในการวิจัยและให้ความรู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
นอกจากนิทรรศการ Dinosaur World แล้ว ยังมีนิทรรศการส่วนอื่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชีวิตบนโลกอีกด้วย โครงกระดูกและโมเดลส่วนมากในนี้ต่างมีขนาดเท่าของจริงและหลากหลายมากจนไม่น่าเชื่อ แม้ฉันจะเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ฉันก็สนุกกับการเดินพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากและฉันมาเที่ยวที่นี่ถึงสองครั้งแล้ว ที่นี่มีหลายอย่างให้ได้เห็นและเรียนรู้จนคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้ครึ่งวันเลยทีเดียว
เมื่องคัตสึยามะ (勝山市) ที่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นเมืองที่มีแหล่งขุดฟอสซิลไดโนเสาร์ขนาดใหญ่อยู่ โดยมีไดโนเสาร์ที่มีเอกลักษ์หลายสายพันธุ์ถูกขุดพบที่คัตสึยามะ รวมถึง Fukuisaurus Fukuiraptor และ Fukuititan
มาเยี่ยมศาสตราจารย์ไดโนเสาร์ที่ด้านบนสุดของพิพิธภัณฑ์ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
หลังจากที่คุณชมพิพิธภัณฑ์จนทั่วแล้ว ที่สุดท้ายที่คุณต้องไปชมให้ได้คือ “สวนดาดฟ้า” พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยที่บางส่วนเชื่อมเข้าไปในตัวเนินเขา และคุณสามารถเดินขึ้นไปที่ยอดเนินเพื่อชมวิวภูเขาที่ล้อมรอบคัตสึยามะได้ ที่นั่นจะมีศาสตราจารย์ไดโนเสาร์ (恐竜博士 Kyо̄ryū Hakushi) ในชุดแล็บพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งในมือนั่งอยู่บนม้านั่ง ณ ยอดเนินเขา และยังมีรูปเงา Pterodactyl อยู่บนด้านข้างของเนินเขาให้เราได้ชมกันด้วย
การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย Echizen Railway Katsuyama Eiheiji (えちぜん鉄道勝山永平寺線) จากสถานี Fukui (福井駅) ไปที่สถานี Katsuyama (勝山駅) และจากสถานี Katsuyama นั่งรถบัสประจำทางไปยังพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ คุณสามารถเช็คตารางเวลาเดินทางของรถไฟ/รถบัสได้ที่นี่ (เว็บมีภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น) ซึ่งมีรถบัสที่ตารางเดินรถพอดีกันกับรถไฟให้บริการอยู่
Fukui Prefectural Dinosaur Museum (福井県立恐竜博物館)
ที่อยู่: 51-11 Terao, Muroko, Katsuyama, Fukui 911-8601
การเดินทาง: นั่งรถบัส 15 นาทีจากสถานี Katsuyama ของ Echizen Railway
วัดเอเฮจิ
วัดเอเฮจิเป็นวัดนิกายเซนที่สำคัญแห่งหนึ่งและมีบรรยากาศสวยงามมากในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตรูปภาพ: JTA / JNTO)
ระหว่างทางกลับไปที่เมืองฟุคุอิ เรามาแวะกันที่วัดเอเฮจิ (永平寺 Eiheiji) วัดขนาดใหญ่และเป็นที่พำนักของพระสงฆ์นิกายเซน ชื่อวัดแห่งนี้มีความหมายว่า “วัดแห่งความสงบอันเป็นนิรันดร์” และประกอบด้วยอาคารมากกว่า 70 อาคารซึ่งล้วนตั้งอยู่ในเชิงเขาที่ปกคลุมด้วยต้นซีดาร์ วัดเอเฮจิถูกก่อตั้งในปี 1244 ในฐานะหนึ่งในสองวัดหลักในนิกายโซโต (Sōtō) ของญี่ปุ่น โดยผู้ก่อตั้งคืออาจารย์โดเก็น (道元禅師 Dōgen Zenji) บัณฑิตผู้ศึกษาศาสนาพุทธและนำนิกายโซโตเซ็น (曹洞禅, Sōtō Zen) จากจีนเข้ามายังญี่ปุ่น
ในฤดูใบไม้ร่วง (ปลายเดือนตุลาคมจนถึงต้นพฤศจิกายน) ต้นไม้ภายในวัดก็จะเต็มไปด้วยสีสันมากมาย ทำให้วัดเอเฮจิเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมของฟุคุอิ
วัดเอเฮจิ (永平寺)
ที่อยู่: 5-15 Shihi, Eiheiji-cho, Yoshida-gun, Fukui 910-1228
การเดินทาง: นั่งรถบัส 13 นาทีจากสถานี Eiheijiguchi ของ Echizen Railway
วันที่ 7: ฟุคุอิ → หมู่บ้าน Echizen Washi → โอซาก้า
ในวันสุดท้ายก่อนที่ตั๋ว Hokuriku Arch Pass จะหมดอายุ พวกเราจะเดินทางจากฟุคุอิไปยังโอซาก้า จากนั้นคุณสามารถเที่ยวต่อในโอซาก้า (หรือเกียวโตหรือที่อื่นใดก็ตาม) หรือจะเดินทางกลับไปยังสนามบินได้ตามแต่แผนการเที่ยวของคุณ แต่ก่อนหน้านั้น มาแวะกันที่หมู่บ้าน Echizen Washi กัน จากสถานี JR Fukui (福井駅) นั่งรถด่วน Limited Express Shirasagi 15 นาทีเพื่อไปยังสถานี JR Takefu (武生駅) และนั่งรถบัสอีก 20 นาทีไปยังหมู่บ้าน Echizen Washi
หมู่บ้าน Echizen Washi
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกระดาษวาชิ มาที่หมู่บ้าน Echizen Washi กัน (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
วาชิ (和紙 Washi) คือกระดาษญี่ปุ่นที่โดยทั่วไปมักผลิตด้วยมือ กระดาษวาชิเป็นกระดาษที่มีความงามและมีระดับในตัวเองอยู่ทั้งในใยกระดาษ เนื้อสัมผัส และผิวกระดาษที่เห็นได้ ถ้าคุณเป็นคนชอบกระดาษวาชิเหมือนกัน ระหว่างทางจากฟุคุอิไปโอซาก้าก็มาแวะเที่ยวกันที่หมู่บ้าน Echizen Washi (越前和紙の里 Echizen Washi no Sato) ได้เลย หมู่บ้าน Echizen Washi เป็นแหล่งผลิตกระดาษวาชิราว 30% ของกระดาษวาชิทั้งหมดของญี่ปุ่น ที่นี่คุณสามารถเที่ยวชมอาคารสามแห่งได้ ซึ่งได้แก่ Paper & Culture Museum, Udatsu Paper & Craft Museum และ Papyrus House
Paper & Culture Museum: ชื่นชมงานศิลปะจากวาชิและอีกสารพัดงานศิลป์ที่สร้างสรรค์ได้ด้วยวาชิ
ที่ Paper & Culture Museum นั้นมีงานศิลปะจากกระดาษมากมายประดับอยู่อย่างสวยงาม (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
จุดแรกที่เราไปเยี่ยมชมกันคือ Paper & Culture Museum (紙の文化博物館 Kami no bunka Hakubutsukan) สำหรับที่พิพิธภัณฑ์นี้ ภายในมีงานตกแต่งสวยงามมากมายซึ่งล้วนทำจากกระดาษวาชิ เช่นการตกแต่งเทศกาลทานาบาตะ และลูกบอลที่เต็มไปด้วยกระดาษซึ่งทำจากวาชิ
ที่ด้านในของชั้นแรกของพิพิธภัณฑ์จะมีห้องที่เต็มไปด้วยแผ่นกระดาษวาชิหลายประเภทแขวนอยู่ ซึ่งเป็นห้องที่สวยมากและคุณสามารถชมประเภท สี และเนื้อสัมผัสต่างๆ ของกระดาษวาชิที่มีไว้ใช้แตกต่างกันด้วย โดยกระดาษเหล่านี้มีขนาดใหญ่มาก ราว 1x1 เมตรได้ และในห้องมีกระดาษแขวนอยู่หลายแถวให้คุณชมได้
Paper & Culture Museum (紙の文化博物館)
ที่อยู่: 11-12 Shinzaike-cho, Echizen City, Fukui 915-0232
การเดินทาง: นั่งรถบัส 20 นาทีจากสถานี JR Takefu
Papyrus House: มาทำงานศิลปะจากกระดาษของเรากัน
ทำเยื่อกระดาษเป็นชั้นๆ เพื่อทำจานรองแก้วชุดหนึ่ง (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
คุณกำลังอยากหาของฝากพิเศษเฉพาะตัวคุณอยู่ใช่ไหม? ลองมาที่ Papyrus House (パピルス館 Papirusu-kan) กัน ที่นี่คุณสามารถลองทำงานฝีมือจากวาชิเองได้ เช่นชุดจานรองแก้ว 6 อันดังในรูปด้านบน
กิจกรรมทำงานฝีมือจากกระดาษเป็นกิจกรรมที่สนุกได้ทุกวัย (Image credit: JR East / Carissa Loh)
ขั้นตอนทั้งหมดนั้นง่ายมาก เพียงค่อยๆ เพิ่มชั้นเนื้อเยื่อกระดาษบนแผ่นกระดาน เพิ่มดอกไม้เข้าไปตกแต่ง เพิ่มเยื่อกระดาษอีก แต่งแต้มด้วยสีและทองคำเปลวเล็กน้อย จากนั้นก็รอให้แห้งเท่านั้น มันเป็นกิจกรรมที่สนุกจริงๆ และคุณยังสามารถเลือกทำของได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นซองจดหมาย นามบัตร โปสต์การ์ด ตะเกียง พัด และอื่นๆ เพียงเลือกของที่คุณต้องการจะทำ บอกพนักงาน ลงมือทำงานฝีมือ แล้วรอให้งานฝีมือของคุณแห้งอีก 10 นาที โดยของเหล่านี้ต่างเป็นของชิ้นเล็กๆ บางครั้งพนักงานจึงใช้เครื่องดูดสุญญากาศมาช่วยดูดน้ำออกจากแผ่นกระดานเยื่อกระดาษเพื่อช่วยให้แห้งเร็วขึ้น
ถ่ายรูปกับชุดจานรองแก้วที่ฉันทำ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
หลังจากที่ทำงานฝีมือของตัวเองเสร็จแล้ว พนักงานก็จะแพ๊คของให้อย่างสวยงามในซองที่เขียนว่า “วาชิที่ฉันทำ” และสำหรับจานรองแก้ว คุณจะต้องตัดกระดาษให้เป็นไซส์จานรองแก้วเอง กิจกรรมทำกระดาษนี้เป็นกิจกรรมที่สนุกและง่าย สามารถทำได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ถ้าคุณอยากซื้อของที่ระลึกกลับบ้านไปให้เพื่อนและครอบครัว Papyrus House ยังเป็นร้านที่คุณสามารถซื้อสินค้าทำจากวาชิ เช่น กระดาษห่อของ กระดาษเขียนจดหมาย ซองจดหมาย สมุด ถุงซื้อของ พัด โป๊ะโคม ฯลฯ ที่ต่างมีดีไซน์สวยงามหลากหลายให้เลือกซื้อ ซึ่งฉันเป็นคนหนึ่งที่มักเผลอซื้อของเยอะเป็นประจำ...
Papyrus House (パピルス館)
ที่อยู่: 8-44 Shinzaike-cho, Echizen City, Fukui 915-0232
การเดินทาง: นั่งรถบัส 20 นาทีจากสถานี JR Takefu
Udatsu Paper & Craft Museum: เรียนรู้การผลิตวาชิ
เรียนรู้ว่ากระดาษถูกผลิตอย่างไรที่ Udatsu Paper & Craft Museum (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ที่ Udatsu Paper & Craft Museum (卯立の工芸館 Udatsu no Kо̄geikan) นี้ คุณสามารถชมช่างฝีมือผลิตกระดาษวาชิแผ่นใหญ่ได้ โดยพนักงานที่ใจดีจะอธิบายและสาธิตว่าโคโสะ (kо̄zo, พิชที่ใช้ทำเยื่อกระดาษ) ถูกเก็บเกี่ยว ทำความสะอาด ฉีก ตี ผสมกับเนริ (ของเหลวที่ผลิตจากรากต้นโทโรโระอาโออิ) เขย่า และผ่านกระบวนการทั้งหมดอย่างไรจนเป็นกระดาษวาชิหนึ่งแผ่นอย่างที่เห็น
จากนั้นแผ่นกระดาษก็ถูกนำมาเรียงกันเป็นตั้งโดยมีเชือกเส้นหนึ่งคั่นระหว่างกระดาษแต่ละแผ่นเพื่อให้ง่ายต่อการแยกกระดาษแต่ละแผ่นออกมาทีหลัง กระดาษแผ่นใหญ่เหล่านี้จะถูกวางบนกระดานไม้แบนๆ ที่มีผิวเรียบเพื่อเช็คให้แน่ใจว่ากระดาษทุกแผ่นเท่ากันตามมาตรฐาน จากนั้นกระดาษจะถูกนำไปตากแห้งด้านนอก หลังจากที่กระดาษแห้งเรียบร้อย กระดาษเหล่านี้จะเป็นกระดาษขนาด 1x1 เมตร
Udatsu Paper & Craft Museum (卯立の工芸館)
ที่อยู่: 9-21-2 Shinzaike-cho, Echizen City, Fukui 915-0232
การเดินทาง: นั่งรถบัส 20 นาทีจากสถานี JR Takefu
จากสถานี JR Takefu คุณสามารถนั่งรถด่วน Limited Express Thunderbird ไปโอซาก้าและต่อรถไฟที่ตรงไปยังสนามบิน Kansai International Airport (KIX) ได้
Hokuriku Arch Pass
ตั๋ว Hokuriku Arch Pass เป็นตั๋วที่ใช้งานสะดวกสำหรับการเดินทางในภูมิภาคโฮคุริคุ (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ถ้าคุณกำลังเดินทางจากโตเกียวหรือโอซาก้าไปโฮคุริคุ ขอแนะนำตั๋ว Hokuriku Arch Pass ตั๋วราคาย่อมเยาที่ให้คุณสามารถขึ้นรถไฟ Hokuriku Shinkansen และรถไฟในเครือ JR East และ JR West (รวมถึงรถไฟชินกันเซ็นอื่นๆ ) ได้อย่างไม่จำกัดเที่ยวตลอดระยะเวลา 7 วันติดกัน
ด้วยราคาเมื่อซื้อนอกประเทศญี่ปุ่นที่ตกเพียง 24,500 เยน คุณสามารถประหยัดค่าเดินทางได้มากเมื่อเทียบกับค่าตั๋วเที่ยวต่อเที่ยว และมีราคาถูกกว่าตั๋ว 7-day Nationwide Japan Rail Pass อีกด้วย นอกจากนี้ ผู้ถือตั๋ว Hokuriku Arch Pass ยังจะได้รับส่วนลดสำหรับค่าเดินทางอื่นๆ และค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ โดยคุณสามารถเช็คส่วนรายละเอียดได้ที่นี่
ตามแผนการเที่ยวนี้ คุณสามารถประหยัดค่าเดินทางได้มากกว่า 10,000 เยนทีเดียว ภูมิภาคโฮคุริคุถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เลอค่ามากและฉันหวังว่าคุณจะได้มาเที่ยวที่นี่สักวัน ปัจจุบันส่วนต่อขยาย Hokuriku Shinkansen จากคานาซาว่าและฟุคุอิ กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในปี 2022 โดยเส้น Hokuriku Shinkansen จะขยายต่อไปจนถึงโอซาก้า ดังนั้นในอนาคตเราสามารถเดินทางเที่ยวโฮคุริคุได้อย่างเร็วขึ้นและสะดวกขึ้นแน่นอน!
เครดิตรูปภาพส่วนหัวบทความ: JR East / Carissa Loh
Translated by ANNGLE