ลุยเดี่ยวเดินป่าจากคามิโคจิสู่คาราซาวะในฤดูใบไม้ร่วง
อัปเดตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2024
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2020
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ฉันไปกี่ครั้งก็ไม่มีวันเบื่อ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ฉันก็ไปญี่ปุ่นมาแล้ว 43 ครั้ง ทั้งไปเพื่อทำงานและท่องเที่ยว และได้เดินทางไปทั่วญี่ปุ่นหมดแล้วทั้ง 47 จังหวัด ถ้าคุณถามว่าฉันชอบที่ไหนมากที่สุดละก็ ฉันสามารถตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยค่ะว่าคือที่คามิโคจิ (上高地 Kamikōchi) ทางตอนเหนือของเจแปนแอลป์
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันไปเยือนที่นี่เมื่อปี 2011 คามิโคจิก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ที่ฉันประทับใจมากที่สุดในญี่ปุ่นหรืออาจจะที่สุดในโลกแบบไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สถานที่แห่งนี้อยู่ที่ระดับความสูง 1,500 เมตร เป็นพื้นที่ที่สวยงามตามธรรมชาติ มองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำอาซุสะสีฟ้าใสเบื้องหน้าเทือกเขาโฮทากะที่ชวนให้หลงใหล ฉันไปคามิโคจิมาแล้ว 7 ครั้งตั้งแต่ปี 2011 โดยเมื่อถึงช่วงท้ายของทริป สิ่งที่ฉันมั่นใจมากๆ มีอยู่สองอย่างคือ หนึ่ง: ฉันต้องกลับมาที่นี่อีก และสอง: ฉันจะผจญภัยลึกเข้าไปในภูเขา! ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่คนยิ่งน้อย และการเดินเขาก็จะยิ่งสงบและน่ามหัศจรรย์มากขึ้นเท่านั้น
สำหรับฉันแล้ว การไปเยือนคามิโคจิเปรียบได้กับการเดินทางด้านจิตวิญญาณเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ คามิโคจิทำให้ฉันตกหลุมรักธรรมชาติและการเดินเขา และที่นี่จะเป็นสถานที่ในดวงใจของฉันตลอดไป นอกเหนือจากคัปปะบาชิที่มีชื่อเสียงแล้ว ฉันจะพาคุณเดินทางไปยัง Karasawa Cirque (涸沢カール คาราซาวะ คารุ) อันเป็นสมบัติล้ำค่าของคามิโคจิและสีสันที่น่าตื่นตาในฤดูใบไม้ร่วงด้วยค่ะ
คามิโคจิอยู่ที่ไหน
การเดินทางไปคามิโคจิในปีต่างๆ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
คามิโคจิตั้งอยู่ในจังหวัดนากาโนะที่เต็มไปด้วยภูเขา โดยชื่อคามิโคจินั้นแปลตรงตัวได้ว่า “สถานที่ที่เทพเจ้าลงมาประทับ” และมาจากการเข้ามาของเทพเจ้าชินโตนาม “โฮทากะ โนะ มิโคโตะ” (穂高見命) ผู้ซึ่งเชื่อว่าลงมาประทับ ณ ภูเขาโอคุโฮตาคาดาเกะ ทิวทัศน์ที่นี่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ! โดยอุณหภูมิมักจะไม่สูงไปกว่า 20ºC และจะเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อปีนเขาสูงขึ้นไป
เทือกเขาแอลป์ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นที่ทอดตัวอยู่ท่ามกลางยอดเขาสูงตะหง่านและหุบเขาลึกนั้นเปรียบเสมือนสวรรค์ของนักปีนเขา โดยมีคามิโคจิเป็นประตูที่นำไปสู่การเดินป่าท่ามกลางภูเขาเหล่านี้ เมื่อนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จึงมีการห้ามไม่ให้นำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปที่คามิโคจิเพื่อสงวนความสวยงามตามธรรมชาติของที่นี่เอาไว้ ดังนั้นการเดินทางมาที่นี่จึงต้องโดยสารรถบัสประจำทางหรือแท็กซี่เท่านั้น คามิโคจิอยู่ห่างจากเมืองมัตสึโมโตะออกไปเพียง 90 นาที ที่นี่จึงเป็นทริปแบบไปเช้าเย็นกลับที่สะดวกสบายสำหรับทุกคน และเป็นทริปแบบค้างคืนหลายวันสำหรับนักเดินเขาได้ไม่ยาก
ทริปคามิโคจิครั้งแรกของฉันในปี 2011 เป็นการท่องเที่ยวตามเส้นทางสำหรับมือใหม่เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ นั่นคือการเดินจากบ่อน้ำไทโช (Taisho Pond) ไปยังคัปปะบาชิ (Kappabashi) โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นฉันก็เดินในเส้นทาง 3 ชั่วโมงที่เริ่มจากบ่อน้ำไทโช → คัปปะบาชิ → บ่อน้ำเมียวจิน → คัปปะบาชิอยู่หลายปี แต่หลังจากที่ฉันได้ปีนเขาเป็นครั้งแรก (ภูเขาไฟฟูจิในปี 2016) ฉันก็ตัดสินใจว่าฉันพร้อมแล้วที่จะลองเดินเขา 6 ชั่วโมงไปยัง Karasawa Cirque ในปี 2018 ซึ่งเป็นจุดที่ไกลที่สุดเท่าที่ฉันเคยไปมาจนถึงตอนนี้ค่ะ แต่ฉันก็หวังว่าจะได้ลองปีนเขายาริ ภูเขายอดแหลมอันโดดเด่นซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้นี้
แฟ้มรูปคาราซาวะ (ซ้าย), คาราซาวะของจริง (ขวา) (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ตอนที่ฉันไปคามิโคจิครั้งแรกในปี 2011 นั่นเป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ฉันเดินทางคนเดียว และเป็นครั้งแรกที่ไปเดินเขาด้วย ฉันไปเห็นแฟ้มที่มีรูปถ่ายเด่นสะดุดตาของคาราซาวะที่ร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง จำได้ว่าตอนนั้นฉันคิดในใจว่า “ที่นี่สวยมากเลย! สักวันฉันจะต้องไปที่นี่ให้ได้” และหลังจากนั้น 7 ปีฉันถึงได้ไปที่นี่ในปี 2018 และไปอีกครั้งหนึ่งในปี 2019
วิวรอบๆ Karasawa Cirque (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
คาราซาวะตั้งอยู่ใจกลางยอดเขาโฮทากะ โดยใช้เวลาเดินเขา 6 ชั่วโมงจากคัปปะบาชิ ที่นี่มีชื่อเสียงมากเรื่องวิวที่มีสีสันในฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากอยู่สูงถึง 2,350 เมตร ช่วงพีคสุดของฤดูใบไม้ร่วงที่นี่จึงจะอยู่ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนไปจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม บอกเลยค่ะว่าสีสันสดใสและวิวภูเขาแบบพาโนรามาตลอดเส้นทางนั้นไม่เป็นสองรองใครแน่นอน และคุ้มจริงๆ ที่จะมาปีนเขาที่นี่ ต่างจากภูเขาไฟฟูจิที่ระหว่างทางไม่มีทิวทัศน์สวยๆ ให้ชมและมีเพียงยอดเขาเป็นเป้าหมายในการปีนเขาเท่านั้น สำหรับคาราซาวะแล้วทั้งระหว่างการปีนเขาและจุดหมายปลายทางต่างก็สนุกไม่แพ้กัน
ระหว่างทางขึ้นไปยังคาราซาวะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ในตอนแรกคุณอาจจะคิดว่าการปีนเขา 6 ชั่วโมงฟังดูน่ากลัว แต่แค่ใช้ความอึดและอดทนสักนิด แม้แต่มือใหม่ก็สามารถปีนเขาขึ้นไปถึงคาราซาวะได้ไม่ยากค่ะ ฉันจะพาคุณเที่ยวทีละสเต็ปจากคามิโคจิไปถึงคาราซาวะเอง!
เส้นทาง
เวลาในการเดินทาง
มัตสึโมโตะ/Matsumoto/松本 → (นั่งรถบัสและรถไฟ 90 นาที) → บ่อน้ำไทโช/Taisho Pond/大正池 → (เดิน 1 ชั่วโมง / นั่งรถบัส 8 นาที) → สถานีขนส่งคามิโคจิ/Kamikochi Bus Terminal/上高地バスターミナル → (เดิน 5 นาที)→ คัปปะบาชิ/Kappabashi/河童橋 → (เดิน 1 ชั่วโมง) → สะพานเมียวจิน/Myojin Bridge/明神橋 → (เดิน 1 ชั่วโมง) → โทคุซาวะ/Tokusawa/徳沢 → (เดิน 1 ชั่วโมง) → โยโค/ Yokoo/横尾 → (ปีนเขา 1 ชั่วโมง) → ฮนตานิบาชิ/Hontani Bashi/本谷橋 → (ปีนเขา 1.5 ชั่วโมง) → S Gare/Sガレ → (ปีนเขา 1 ชั่วโมง) → คาราซาวะ/Karasawa Cirque/涸沢カール
แพลนที่แนะนำ
วันที่ 1: มัตสึโมโตะ/Matsumoto → บ่อน้ำไทโช/Taisho Pond → คัปปะบาชิ/Kappabashi → บ่อน้ำเมียวจิน/Myojin Pond →โทคุซาวะ/Tokusawa (ค้างคืน)
วันที่ 2: โทคุซาวะ/Tokusawa → โยโค/Yokoo → สะพานฮนตานิ/Hontani Bridge → S Gare → คาราซาวะ/Karasawa Cirque (ค้างคืน)
วันที่ 3: คาราซาวะ/Karasawa → มัตสึโมโตะ/Matsumoto
บ่อน้ำไทโช
บ่อน้ำไทโชตอนเช้าตรู่ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
การเดินเขาส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่บ่อน้ำไทโช (大正池 ไทโชอิเคะ) ซึ่งเป็นทางราบที่เดินง่าย ถ้าเป็นไปได้แนะนำว่าให้ไปช่วงเช้าค่ะ เพราะจะเห็นต้นไม้ส่องแสงเป็นประกายจากน้ำค้างในยามเช้า ยอดเขายาเคดาเกะและเทือกเขาโฮตากะจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอก และน้ำในบ่อที่นิ่งสงบจะสะท้อนให้เห็นวิวอย่างชัดเจน การเดินเขาที่นี่ในตอนเช้าจะทำให้คุณได้เห็นความมหัศจรรย์เล็กๆ ของธรรมชาติ ฉันใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงยืนมองดูทิวทัศน์อันเงียบสงบอยู่ริมบ่อน้ำและจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง
คัปปะบาชิ
คัปปะบาชิในฤดูร้อน (เครดิตรูปภาพ: Matsumoto City / JNTO)
เดินทางจากบ่อน้ำไทโชไปประมาณ 1 ชั่วโมงจะพบกับ คัปปะบาชิ (河童橋) สะพานแขวนข้ามแม่น้ำอาซุสะ ภาพของคัปปะบาชิในช่วงต้นฤดูร้อนกับใบไม้สีเขียวสด โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาโฮตากะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและมีแม่น้ำอาซุสะไหลอยู่เบื้องล่างเป็นภาพที่อยู่ในโปสเตอร์ของคามิโคจิ ซึ่งคุณก็น่าจะเคยเห็นมาแล้ว สะพานที่สวยงามแห่งนี้อยู่ห่างจากสถานีขนส่งคามิโคจิไปเพียง 5 นาทีโดยการเดิน และยังเป็นที่ตั้งของร้านขายของที่ระลึกและโรงแรมส่วนใหญ่อีกด้วย ถ้าคุณเกิดหิวขึ้นมา ฉันแนะนำให้ลองทาน ซันโซคุยากิ (山賊焼 ไก่ทอดขิง) และโยเกิร์ตดริงค์อาสุมิโนะแสนอร่อยเป็นของว่างก่อนออกเดินทางต่อค่ะ
บ่อน้ำเมียวจิน
บ่อน้ำเมียวจิน (ซ้าย) และสะพานเมียวจิน (ขวา). (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เดินจากคัปปะบาชิไป 1 ชั่วโมง คุณจะพบกับสะพานเมียวจิน (明神橋 เมียวจินบาชิ) ฉันชอบข้ามสะพานนี้ไปยังบ่อน้ำเมียวจิน (明神池 เมียวจินอิเคะ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าโฮตากะอันลึกลับศาลเจ้าแห่งนี้อุทิศให้กับโฮตาคามิ โนะ มิโคโตะ เทพชินโตผู้อาศัยอยู่ที่นี่และเป็นผู้ที่ได้รับการตั้งชื่อว่าคามิโคจิ แม้ว่าบ่อน้ำจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่น้ำในบ่อทรงลูกแพร์นี้ก็สะท้อนทัศนียภาพโดยรอบให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้เกิดเป็นวิวที่สวยงามในทุกฤดูกาล โดยบ่อน้ำแห่งนี้เกิดจากตะกอนจากภูเขาเมียวจินที่ถูกพัดลงมาถมแควของแม่น้ำอาซุสะ
แม่น้ำอาซุสะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ฉันชอบมากในคามิโคจิเพราะน้ำในแม่น้ำมีสีฟ้าใสอย่างไม่น่าเชื่อ แม่น้ำที่สวยงามสายนี้เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจของฉันตลอดการเดินทางครึ่งทางที่จะไปยังคาราซาวะจนกระทั่งเราแยกทางกันที่โยโค เสียงน้ำไหลกลายเป็นเพลงประกอบฉากที่ผ่อนคลายสำหรับฉันในการเดินเขา ช่วยปัดเป่าความเครียดและทำให้จิตใจของฉันสงบลง และไอออนลบที่ถูกปล่อยออกมาก็ช่วยเพิ่มพลังด้านบวกและเติมพลังให้กับจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้าของฉัน มันอาจจะเป็นแค่ความคิด แต่การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมักจะทำให้ฉันรู้สึกสบายใจและเติมเต็มพลังให้ฉันในตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานและการใช้ชีวิตเสมอ
โทคุซาวะ
โทคุซาวะเอ็น กระท่อมบนเขาที่แสนสะดวกสบาย ณ โทคุซาวะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เวลาที่ไปเที่ยวคาราซาวะ ฉันมักจะพักค้างคืนแรกที่โทคุซาวะ (徳沢) ซึ่งเป็นกระท่อมสุดท้ายในเส้นทางที่มีห้องอาบน้ำให้บริการ แถม: ที่นี่มีออนเซ็นในร่มด้วยนะคะ! กระท่อมบนเขาที่อยู่เลยจากจุดนี้ไปจะไม่มีที่อาบน้ำแล้ว จากการที่ฉันได้พักในกระท่อมหลักๆ ของโทคุซาวะทั้งสองแห่งคือ โทคุซาวะเอ็น (徳澤園) และ โทคุซาวะลอดจ์ (徳沢ロッジ) มาแล้ว ต้องบอกเลยว่าฉันรักโทคุซาวะเอ็นมากๆ! ปกติแล้วกระท่อมบนเขามักจะแออัดและขาดความเป็นส่วนตัว แต่ที่โทคุซาวะเอ็นนั้นแม้จะเป็นห้องพักรวมแต่ก็ยังมีพื้นที่เฉพาะของตัวเองพร้อมผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว แถมอาหารก็อร่อยมากด้วย โดยมีเมนูจานเด็ดเป็นอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นจากทั่วนากาโนะ
โยโค/ฮนตานิบาชิ
โยโคซันโซ (ซ้าย) และฮนตานิบาชิ (ขวา) (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
เดินต่อไปตามเส้นทางอีก 1 ชั่วโมงจากโทคุซาวะไปยังโยโค (横尾) ยังคงเป็นทางราบที่เดินง่าย โยโคเป็นที่ตั้งของกระท่อมบนเขาแห่งสุดท้าย (โยโค ซันโซ) และมีจุดพักเข้าห้องน้ำไปตลอดทางจนถึงคาราซาวะ อย่าลืมข้ามสะพานโยโคโอฮาชิและเดินตามเส้นทางที่เป็นป่าไปยังฮนตานิบาชิ (本谷橋) นะคะ ถ้าคุณไม่ข้ามสะพานไปโยโค คุณจะมุ่งหน้าไปยังภูเขายาริแทน! เส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งหลายคนจะแวะที่ฮนตานิบาชิเพื่อรับประทานอาหารเช้า ดื่มน้ำ และพักเหนื่อย จากนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะตั้งแต่ฮนตานิบาชิเป็นต้นไป เส้นทางจะชันขึ้นมากและต้องปีนเขาซิกแซกไปตามโขดหินด้วย
S Gare
วิวระหว่างทางไปคาราซาวะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
แถ่นแท้น! เมื่อคุณผ่าน S Gare ไป (1.5 ชั่วโมงจากฮนตานิบาชิ) คุณจะพบกับวิวหลากสีสันของคาราซาวะและแนวภูเขาโฮตากะอันน่าตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นหนึ่งในช่วงที่เหนื่อยที่สุดในการเดินเขา แต่ก็เป็นจุดที่วิวสวยงามมากที่สุดด้วยเช่นกัน วิวทิวทัศน์ที่สวยงามนี้เกือบจะทำให้ฉันลืมไปเลยว่าปีนเขามาเหนื่อยขนาดไหน ที่นี่มีพื้นที่กว้างและเปิดโล่ง ทำให้คุณสามารถใช้เวลาพักผ่อนได้มากเท่าที่ต้องการ และเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันงดงามและสีสันสดใสของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ถ้าให้บรรยายสถานที่นี้ด้วยคำๆ เดียว ฉันจะบอกว่าฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ งดงามดั่งสรวงสวรรค์ ฉันรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ความยิ่งใหญ่และงดงามของวิวทิวทัศน์นี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
คาราซาวะ
มาถึงคาราซาวะแล้วค่ะ! (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ปีนเขาจาก S Gare ไปอีกเพียง 1 ชั่วโมงคุณก็จะไปถึงคาราซาวะในที่สุด หินผาสูงชันจะกลายเป็นหุบเขาโล่งกว้างที่มีกำแพงเขาสูงชันล้อมรอบ นี่คือ “Cirque(เซิร์ก)” ใน Karasawa Cirque นั่นเองค่ะ อาจจะถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์ยากสักหน่อยด้วยความที่ที่นี่ทั้งกว้างและสูง แต่ฉันก็พยายามถ่ายเต็มที่แล้วละค่ะ... ในที่สุดก็ถึงเวลาพักผ่อน เอนตัวและถ่ายภาพอันน่าตื่นตาของเทือกเขาแอลป์แบบพาโนรามา! ฤดูใบไม้ร่วงที่นี่สวยมาก สีสันสดใสของใบไม้แดงดึงดูดผู้คนมากมายจากทั่วญี่ปุ่นให้มาที่นี่ คุณจะต้องตกใจกับจำนวนคนที่เดินทางมาเที่ยวคาราซาวะในฤดูใบไม้ร่วง มีกรุ๊ปทัวร์ของผู้สูงวัยโดยเฉพาะด้วยนะคะ จากคาราซาวะคุณสามารถปีนเขาต่อไปยังยอดเขาคิตะโฮตากาดาเกะ (3.5 ชั่วโมง) และยอดเขาโอคุโฮตากาดาเกะ (3.5 ชั่วโมง) ได้ด้วย แต่ว่าจะเหมาะกับนักปีนเขาที่มีประสบการณ์มากกว่า ไม่แน่ว่าสักวันฉันอาจจะลองปีนดู แต่สำหรับตอนนี้แค่คาราซาวะก็เพียงพอแล้วค่ะ
แวะพักที่คาราซาวะ โกยะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อไปถึงคือสั่งโอเด้งอุ่นๆ มาหนึ่งชาม แม้ว่าสีสันของต้นไม้รอบๆ จะดูอบอุ่น แต่อากาศที่นี่ในฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้ใกล้เคียงอบอุ่นเลยค่ะ อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 5–10ºC และอาจลดลงไปถึง 0ºC ในเวลากลางคืน การนั่งเพลิดเพลินไปกับโอเด้งราคา 800 เยนแสนอร่อยที่ระเบียงในขณะที่ชมวิวไปด้วยเป็นวิธีการอบอุ่นร่างกายที่ผ่อนคลายสุดๆ ไปเลย!
กระท่อมบนเขาสองหลังที่นี่คือ คาราซาวะฮิวท์/Karasawa Hütte (涸沢ヒュッテ) และ คาราซาวะโกยะ (涸沢小屋) คาราซาวะโกยะนั้นตั้งอยู่บนเขา ซึ่งจากบนนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์มุมสูงของหุบเขาและคาราซาวะฮิวท์ที่อยู่ด้านล่างได้! ฉันพักที่คาราซาวะโกยะทั้งสองครั้ง และก็โชคดีที่ฉันไปพักในวันธรรมดา ทำให้ได้ฟูกนอนทั้งสองครั้งเลย กระท่อมบนเขาส่วนใหญ่จะไม่ปฏิเสธผู้เข้าพัก ดังนั้นในช่วงผู้คนหนาแน่นอย่างในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงจึงอาจมีกรณีที่คน 2-3 คนต้องแชร์ฟูกนอนอันเดียวกัน ยังไงก็อย่าลืมโทรไปจองที่พักกันล่วงหน้าด้วยนะคะ
เมืองแห่งเต้นท์ในตอนกลางวัน (ซ้าย) และตอนกลางคืน (ขวา) (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ค่าใช้จ่ายในการเข้าพักที่กระท่อมอยู่ที่ประมาณคืนละ 10,000 เยน รวมอาหารเย็นและอาหารเช้า แต่นอกจากกระท่อมแล้วก็สามารถเลือกนอนในเต้นท์ได้ ที่คาราซาวะนี้นักปีนเขาที่มากประสบการณ์จะมากางเต้นท์ของตัวเองบนลานหินด้านหน้า ทำให้ตรงนี้ได้ชื่อเล่นว่า “เมืองแห่งเต้นท์” ความจริงฉันก็อยากลองนอนเต้นท์ดูเหมือนกัน แต่ว่าฉันไม่รู้วิธีกางเต้นท์และเต้นท์ก็หนักมากด้วย! แถมพื้นยังเป็นหินแข็งๆ อีกต่างหาก ดังนั้นคนที่นอนเต้นท์จึงต้องอึดสุดๆ หรือว่ามีถุงนอนที่หนามากๆ ไม่ก็ต้องมีความอดทนต่อความไม่สบายตัวในระดับสูง...
เมื่อเวลากลางคืนมาถึง อุณหภูมิจะลดลงและคุณจะสังเกตเห็นสองสิ่ง นั่นคือเต้นท์หลากสีทั่วทั้งหุบเขาและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวส่องประกายอยู่ด้านบน คืนไหนที่ไม่มีเมฆ คุณจะสามารถมองเห็นดาวนับหมื่นดวงส่องแสงเป็นประกายบนท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ ด้วยความที่ฉันมาจากเมืองที่มีมลภาวะทางแสงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การได้มาเห็นดวงดาวส่องแสงระยิบระยับราวกับเพชรบนท้องฟ้าสีดำสนิทจึงเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์มากๆ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากลางคืนจะมืดได้ขนาดนี้ และก็ไม่คิดว่าจะมองเห็นดวงดาวได้มากมายขนาดนี้ในคราวเดียวกัน ถ้าคุณโชคดีคุณอาจจะได้เห็นทางช้างเผือกด้วยก็ได้นะ
กำแพงสูงตระหง่านราวกับหอคอยของคาราซาวะ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ฉันรู้สึกผ่อนคลายที่สุดที่คาราซาวะ เพราะถึงแม้ว่าที่พักที่โทคุซาวะจะสะดวกสบายกว่า แต่ฉันยังคงได้รับโทรศัพท์และอีเมลเรื่องงานอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับที่คาราซาวะนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และฉันรู้สึกดีมากๆ ที่ถูกตัดจากโลกภายนอกไปชั่วขณะ เพื่อให้ได้ค่อยๆ ใช้เวลาชื่นชมความงามของทิวทัศน์ อยู่กับความคิดของตัวเอง และปลดปล่อยความหวงแหนหรือยึดติดที่มีต่อเรื่องทางโลกไปครู่หนึ่ง แม้ว่าฉันจะเหนื่อยกาย แต่ฉันก็มีพลังใจและรู้สึกสดชื่นกะปรี้กะเปร่า แล้วก็อยากจะสัมผัสกับความรู้สึกที่มีชีวิตชีวานี้อีกครั้ง ซึ่งความรู้สึกนี้เองคือสิ่งที่ทำให้ฉันอยากกลับมาที่นี่อีก
ฤดูใบไม้ร่วงที่คามิโคจิ ใกล้ๆ กับสะพานคัปปะบาชิ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Carissa Loh)
ถึงแม้ว่าคุณจะเดินทางไปไม่ถึงคาราซาวะ แต่คามิโคจิก็ยังเป็นสถานที่ที่น่าไปเยือนและมีอะไรที่รอให้ไปสัมผัสอีกมากมาย ใครจะไปรู้ว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าหลังจากที่ไปเที่ยวคามิโคจิมาแล้ว 2-3 ครั้ง คุณอาจจะเดินทางท่องเที่ยวลึกเข้าไปในป่าเขาเพื่อชมวิวธรรมชาติอันน่าประทับใจเหมือนกับฉันก็ได้นะคะ!
การเดินทาง
วิธีการเดินทางไปคามิโคจิ ให้ขึ้นรถไฟ Matsumoto Dentetsu Kamikochi Line (สายมัตสึโมโตะ เดนเท็ตสึ คามิโคจิ) จากสถานี Matsumoto (松本駅, สถานีมัตสึโมโตะ) ไปสถานี Shin-Shimashima Station (新島々駅, สถานีชินชิมาชิมะ) 30 นาที จากนั้นนั่งรถบัสต่ออีก 60 นาที
JR EAST PASS (Nagano, Niigata area)
ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) และพื้นที่ที่ครอบคลุม (เครดิตภาพ: JR East)
ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) เป็นตั๋ว Pass ราคาย่อมเยาที่ให้คุณนั่งรถไฟบนทางรถไฟของ JR East ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว รวมถึงรถไฟชินกันเซ็นและ Joyful Train ในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ด้วยความที่ตั๋วนี้มีราคาเพียง 27,000 เยนและใช้ได้ไม่จำกัดตลอดเวลา 5 ติดกัน มันจึงเป็นตั๋วคู่ใจชั้นเยี่ยมสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟของคุณ ผู้ถือตั๋ว Pass นี้ยังสามารถสำรองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าได้นานถึง 1 เดือนได้ฟรีผ่านทาง JR-EAST Train Reservation
JR-EAST Train Reservation. (Iเครดิตภาพ: JR East)
ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) ยังสามารถใช้กับประตูอัตโนมัติได้ และผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถใช้ตั๋วนี้ได้ด้วย
เครดิตรูปภาพส่วนหัวบทความ: JR East / Carissa Loh
Translated by ANNGLE