Rail Travel

พาไปส่องรถไฟสุดหรูของญี่ปุ่น

พาไปส่องรถไฟสุดหรูของญี่ปุ่น

รถไฟเป็นหนึ่งในวิธีการเดินทางที่ประหยัดมากที่สุดวิธีหนึ่งในการเดินทางจากจุด A ไปจุด B โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเดินทางในต่างประเทศ ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นที่รู้จักด้านรถไฟหัวกระสุนสุดไฮเทค แต่นอกจากนี้ก็มีรถไฟหรูหราที่พร้อมจะมอบประสบการณ์เหนือระดับอันยากที่จะลืมเลือนอยู่ด้วยเช่นกัน

 

ตั้งแต่การตกแต่งภายในที่สวยประณีตมีระดับและที่นั่งที่กว้างขวางนุ่มสบาย ไปจนถึงอ่างอาบน้ำส่วนตัวและอาหารรสเลิศ รวมถึงการแสดงเปียโนสดและทิวทัศน์ภายนอกที่สวยหาเทียบไม่ได้ ทั้งหมดนี้จะทำให้บางครั้งคุณก็ไม่อยากเชื่อว่าคุณกำลังนั่งอยู่บนรถไฟ

 

มารู้จักกับรถไฟหรูหราเหล่านี้ ซึ่งมีหลากหลายทั้งรถไฟท่องกลางคืน รถไฟชมวิว และรถไฟหัวกระสุนที่มาพร้อมประสบการณ์แบบเฟิร์สคลาสกันเลยค่ะ

 

รถไฟท่องกลางคืน

รถไฟท่องกลางคืนไม่ใช่แค่การขึ้นรถไฟไปที่ใดที่หนึ่งเฉยๆ แต่คือประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ รถไฟประเภทนี้มีห้องนอนและห้องนั่งเล่นให้ผู้โดยสารได้พักค้างแรมเหมือนเรือครูซ และมีจุดแวะพักระหว่างทางให้ได้ลงไปเที่ยวชม นอกจากนี้ยังมีพนักงานคอยให้บริการระดับชั้นนำด้วยความใส่ใจ มีครัวและบาร์เครื่องดื่มแบบครบวงจรบนรถไฟ และยังมีการแสดงสดเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้โดยสารอีกด้วย ในญี่ปุ่นมีรถไฟหรูหราแบบนี้อยู่ 3 ขบวน ซึ่งวิ่งให้บริการในพื้นที่ที่แตกต่างกัน เรามารู้จักกับรถไฟเหล่านี้กันค่ะ

 

Train Suite Shiki-shima

บริหารโดย: JR East

รถไฟ Train Suite Shiki-shima กำลังวิ่งผ่านภูเขาอิวากิ (เครดิตภาพ: JR East)

 

Train Suite Shiki-shima (トランスイート四季島) เป็นรถไฟที่หรูหราที่สุดของ JR East รถไฟขบวนนี้จะพาผู้โดยสารไปรอบๆ ญี่ปุ่นตะวันออกเพื่อสัมผัสกับเสน่ห์ของไฮไลท์ที่ซ่อนอยู่และประเพณีท้องถิ่น โดยที่ระหว่างนั้นเราจะได้เพลิดเพลินไปกับความงดงามที่คงอยู่เพียงชั่วครู่ของกาลเวลา

 

รถไฟ 10 ตู้ สีทองแชมเปญที่สง่างามขบวนนี้เริ่มให้วิ่งบริการในเดือนพฤษภาคม 2017 ออกแบบโดยนักออกแบบอุตสาหกรรม เคน โอคุยามะ (Ken Okuyama) โดยมีคอร์สวิ่งตามฤดูกาลทั้งแบบ 2 วัน 1 คืน และแบบ 4 วัน 3 คืน ชื่อรถไฟ “Shiki-shima” แปลว่า “เกาะสี่ฤดูกาล” และยังเป็นคำพ้องเสียงกับชื่อเก่าของญี่ปุ่น "敷島" (ชิกิชิมะ) อีกด้วย

 

หมายเหตุ: ก่อนหน้านี้ฉันได้เขียนบทความแบบเจาะลึกเกี่ยวกับรถไฟ Train Suite Shiki-shima ซึ่งคุณสามารถตามไปอ่านได้ที่นี่ เพื่อไม่ให้เนื้อหาซ้ำซ้อนกัน เนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นการอธิบายโดยย่อเท่านั้น

โครงสร้างของรถไฟ Train Suite Shiki-shima (เครดิตภาพ: JR East)

 

ดีไซน์หน้าต่างที่ไม่เหมือนใครที่ให้เอฟเฟกต์แบบโคโมเรบิ (เครดิตภาพ: JR East)

 

การเดินทางโดยรถไฟ Train Suite Shiki-shima เริ่มต้นที่ชานชลาหมายเลข 13.5 สุดพิเศษในสถานี Ueno ในโตเกียว แนวคิดเบื้องหลังทิวทัศน์ที่รถไฟ Train Suite Shiki-shima ต้องการมอบให้กับผู้โดยสารคือโคโมเรบิ (木漏れ日 Komorebi) ซึ่งคำภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงแสงแดดที่ส่องลอดกิ่งไม้ การตกแต่งด้วยไม้ของรถไฟที่สวยงามดูคล้ายกับกิ่งไม้ที่ยื่นขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อรวมเข้ากับรูปทรงของหน้าต่างที่ไม่เหมือนใครแล้ว จึงเกิดเป็นเอฟเฟกต์ของแสงที่ลอดผ่านกิ่งไม้ลงมานั่นเอง

 

ห้องพักของผู้โดยสารบนรถไฟ Train Suite Shiki-shima (เครดิตภาพ: JR East)

 

รถไฟ Train Suite Shiki-shima ผสมผสานดีไซน์ที่ละเอียดอ่อนและงานฝีมือแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมในรูปแบบที่ทันสมัยเข้าด้วยกัน บนรถมีห้องสวีท 17 ห้อง ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 34 คน ประกอบด้วยห้องสวีทชิกิชิมะ (Shiki-shima Suite) 1 ห้อง ห้องสวีทดีลักซ์ (Deluxe Suite) 1 ห้อง และห้องสวีท 15 ห้อง โดยห้องสวีทชิกิชิมะและห้องสวีทดีลักซ์นั้นมาพร้อมกับอ่างน้ำที่ทำจากไม้สนไซเปรสอายุ 300 ปีจากจังหวัดนากาโนะ

 

มื้ออาหารบนรถไฟ Train Suite Shiki-shima (เครดิตภาพ: JR East)

 

ห้องอาหารบนรถไฟ Train Suite Shiki-shima นั้นเรียกได้ว่าเทียบชั้นกับภัตตาคารชั้นเลิศเลยทีเดียว ที่นั่งส่วนใหญ่จะอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อให้สามารถชมทิวทัศน์อันน่าตื่นตาตื่นใจได้เต็มที่ อาหารทุกจานต่างผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันโดยใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากญี่ปุ่นตะวันออก ขณะที่รถไฟเดินทางไปรอบญี่ปุ่นตะวันออก เมนูอาหารก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้เราได้สัมผัสกับวัตถุดิบในท้องถิ่นและประเพณีการทำอาหารของภูมิภาคที่รถไฟแล่นผ่าน

 

ค่าโดยสารรถไฟ Train Suite Shiki-shima ในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2022 เริ่มต้นที่ 370,000 เยนต่อคนสำหรับคอร์ส 2 วัน 1 คืน และ 1,000,000 เยนต่อคนสำหรับคอร์ส 4 วัน 3 คืน โดยอิงจากการเข้าพักเป็นคู่ แต่ผู้ที่เดินทางคนเดียวก็สามารถใช้บริการรถไฟได้เช่นกัน 

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Train Suite Shiki-shima ได้ในบทความก่อนหน้านี้ของฉันที่นี่ หรือในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษที่นี่

 

TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE

บริหารโดย: JR West

TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE กำลังข้ามสะพานโซโกกาวะ (เครดิตภาพ: ©Takashi Karaki)

 

TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (TWILIGHT EXPRESS 瑞風) เป็นรถไฟสุดหรูของ JR West ที่มีคอนเซปต์เป็นโรงแรมที่เคลื่อนตัวผ่านภูมิทัศน์อันสวยงามของญี่ปุ่น โดยมาพร้อมคุณภาพเหนือชั้นและความรู้สึกที่ชวนให้หวนคิดถึงวันวาน รถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE ที่มี 10 ตู้ขบวนนี้เริ่มวิ่งในเดือนมิถุนายน ปี 2017 ดีไซน์โดย คาซึยะ อุระ (Kazuya Ura) สถาปนิกนักออกแบบภายใน และ เท็ตสึโอะ ฟุคุดะ (Tetsuo Fukuda) นักออกแบบอุตสาหกรรม รถไฟวิ่งให้บริการใน 5 เส้นทางที่แตกต่างกัน มีตั้งแต่ทริปแบบ 2 วัน 1 คืนไปจนถึงทริป 3 วัน 2 คืนรอบๆ ภูมิภาคซันโยและซันอินที่เต็มไปด้วยวิวธรรมชาติและวิวชายฝั่งทะเลอันน่าตื่นตา

 

รูปลักษณ์ภายนอกของ  TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE  (เครดิตภาพ: ©Takashi Karaki และ JR West)

 

ตัวรถไฟของ Mizukaze มีสีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์นั้นเป็นมรดกตกทอดมาจารถไฟ Twilight Express โดยมีการตกแต่งให้โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์และการตกแต่งสีทอง ในอดีต JR West เคยให้บริการรถไฟตู้นอน Twilight Express ที่วิ่งระหว่างโอซาก้าและซัปโปโร ซึ่งได้หยุดให้บริการไปเมื่อปี 2015

 

ชื่อ “MIZUKAZE” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “ลมที่สดชื่น” ซึ่งสื่อถึงแนวคิดของ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE ขบวนใหม่ที่จะนำความสนุกสนานมาสู่มิสุโฮะ โนะ คุนิ (瑞穂の国) ที่สวยงาม ซึ่งเป็นชื่อเก่าของญี่ปุ่นที่ใช้ตัวอักษรคันจิ “มิสุ” ตัวเดียวกันนั่นเอง

 

โครงสร้างของรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (เครดิตภาพ: JR West)

 

ห้องสวีทบนรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (เครดิตภาพ: JR West)

 

รถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE รองรับผู้โดยสารได้ 30 คนในห้องพักทั้ง 16 ห้อง ซึ่งประกอบด้วยห้อง The Suite 1 ห้อง ห้อง Royal Twin 13 ห้อง และห้อง Royal Single 2 ห้อง

 

ห้อง The Suite อยู่ในตู้รถไฟที่ 7 เป็นห้องพักสุดหรูที่ใช้พื้นที่ตู้รถทั้งคัน ภายในตกแต่งด้วยโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ เตียงนุ่มสบาย 2 เตียง และโซฟาใหญ่อีก 2 ตัวที่สามารถใช้เป็นเตียงเสริมได้ นอกจากนี้ยังมีระเบียงส่วนตัวที่ผู้เข้าพักสามารถเพลิดเพลินไปกับสายลมและทิวทัศน์ด้านนอกได้ เท่านั้นไม่พอ ห้องสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ยังมีอ่างอาบน้ำขนาดมาตรฐานตั้งอยู่ติดกับหน้าต่าง เพื่อให้ผู้เข้าพักสามารถชมวิวในขณะที่แช่น้ำไปด้วยได้

 

ห้อง Royal Twin และห้อง Royal Single บนรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (เครดิตรูปภาพ: JR West)

 

ห้อง Royal Twin ทั้ง 12 ห้องอยู่ในตู้รถไฟคันที่ 2, 3, 8 และ 9 ส่วนตู้ที่ 4 เป็นพื้นที่ของห้อง Royal Single 2 ห้อง และห้อง Royal Twin ที่ผู้ใช้เก้าอี้รถเข็นสามารถใช้ได้ ห้องพักทุกห้องตกแต่งด้วยชิ้นงานหัตถกรรมแบบดั้งเดิมซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษจากพื้นที่ต่างๆ ตลอดเส้นทางที่รถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE วิ่งผ่าน อีกทั้งแต่ละห้องต่างมีห้องอาบน้ำกับห้องสุขา ในช่วงกลางวันผู้เข้าพักสามารถพับเตียงให้เป็นโซฟาเพื่อให้ห้องมีพื้นที่กว้างขวางขึ้นได้ด้วย

 

บน: Diner Pleiades และครัวแบบเปิด ล่าง: อาหารที่เสิร์ฟในห้องพัก (เครดิตภาพ: JR West)

 

หนึ่งในไฮไลท์ของการเดินทางบนรถไฟขบวนนี้คือ อาหารที่เป็นเอกลักษณ์บนรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE ซึ่งได้รับการจัดสรรโดยคอลัมนิสต์ด้านอาหารชื่อดังอย่างคาโดคามิ ทาเคชิ (Kadokami Takeshi) อาหารทั้งหมดถูกปรุงบนรถไฟและดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารฝีมือชั้นนำที่สร้างสรรค์อาหารน่าลิ้มลองโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากพื้นที่ต่างๆ ตลอดเส้นทางรถไฟเป็นส่วนประกอบ

 

ตู้รถไฟสำหรับรับประทานอาหาร Diner Pleiades (ダイナープレヤデス) อยู่ที่ตู้รถไฟคันที่ 6 ซึ่งมีจุดเด่นที่พิเศษมากๆ คือครัวแบบเปิด ซึ่งผู้โดยสารสามารถชมเชฟเตรียมอาหารอย่างพิถีพิถันได้จากหน้าต่าง

 

เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ อาหารทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนมาเสิร์ฟในห้องพักแทนการเสิร์ฟที่ห้องอาหาร โดยพนักงานบนรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE จะนำอาหารไปเสิร์ฟถึงห้องพักทุกห้องเพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เป็นส่วนตัวให้แก่ผู้เข้าพัก

 

ผ่อนคลายที่เลานจ์บนรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (เครดิตภาพ: JR West)

 

เลานจ์ Salon De L'ouest (サロン・ドゥ・ルゥエスト) ในตู้ที่ 5 เป็นพื้นที่ที่ผู้โดยสารสามารถมาผ่อนคลายได้ ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ถูกตกแต่งสไตล์ย้อนยุคผสมสมัยใหม่ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ Art Deco ที่เป็นที่นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 ภายในเลานจ์มีบาร์เครื่องดื่ม รวมถึงการแสดงดนตรีสด (ไวโอลิน วิโอลา และเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ) 

 

ห้องชมวิวของรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (เครดิตภาพ: JR West)

 

และสุดท้ายที่ตู้รถไฟคันที่ 1 และ 10 ซึ่งอยู่ปลายขบวนรถไฟทั้งสองฝั่งคือห้องชมวิวที่มีโซฟาหรูนั่งสบายหันหน้าออกหน้าต่าง พร้อมหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานยาวไปจนถึงเพดานของตู้รถไฟ ทำให้ผู้โดยสารได้ชมวิวอันตระการตา รวมถึงวิวของท้องฟ้าและดวงดาวในยามค่ำคืน

 

พนักงานและลูกเรือของ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE (เครดิตรูปภาพ: JR West)

 

ค่าโดยสารรถไฟ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE ในเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2022 เริ่มต้นที่ 325,000 เยนต่อคนสำหรับคอร์ส 2 วัน 1 คืน และ 610,000 เยนต่อคนสำหรับคอร์ส 3 วัน 2 คืน โดยอิงจากการเข้าพักเป็นคู่ในห้อง Royal Twin ผู้ที่เดินทางคนเดียวก็สามารถใช้บริการรถไฟได้เช่นกัน

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TWILIGHT EXPRESS MIZUKAZE  ในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษได้ที่นี่

 

Cruise Train Seven Stars in Kyushu

บริหารโดย: JR Kyushu

รถไฟ Seven Stars ในคิวชูที่มีภูเขายูฟุเป็นฉากหลัง (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

ทางตอนใต้ของภูมิภาคคิวชูมีรถไฟที่เป็นขบวนบุกเบิกรถไฟท่องเที่ยวหรูหราชื่อว่า Cruise Train Seven Stars in Kyushu (クルーズトレインななつ星in九州) ของ JR Kyushu รถไฟขบวนนี้ออกแบบโดยนักออกแบบอุตสาหกรรม เออิจิ มิโตโอกะ (Eiji Mitooka) และเริ่มวิ่งให้บริการในปี 2013 ชื่อ “Seven Stars in Kyushu” นั้นสื่อถึงจังหวัดทั้ง 7 ในภูมิภาคคิวชู, ตู้รถ 7 คันที่รวมกันเป็นรถไฟขบวนนี้ และจุดเด่น 7 อย่างของคิวชู ได้แก่ ธรรมชาติ อาหาร ออนเซ็น ประวัติศาสตร์/วัฒนธรรม เพาเวอร์สปอต มนุษยชาติ และรถไฟ

 

รูปลักษณ์ภายนอกของรถไฟ  Seven Stars in Kyushu (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

ตัวรถไฟ Seven Stars in Kyushu ด้านนอกเป็นสีไวน์แดงเรียบหรูที่เหมือนกันสีที่ใช้ลงรักเครื่องเคลือบในสมัยโบราณ และยังแสดงถึงการเดินทางอย่างมีระดับไปรอบๆ คิวชูที่รอให้ผู้โดยสารมาสัมผัสอีกด้วย โดยมีเส้นสีทองและจุดเด่นอย่างตราสัญลักษณ์และโลโก้ของรถไฟ รวมถึงชื่อของจังหวัดทั้งเจ็ดในภูมิภาคคิวชูมาประดับประดาที่ภายนอกของรถไฟด้วย

 

รถไฟขบวนนี้มีทริปให้เลือกทั้งแบบ 2 วัน 1 คืน และแบบ 4 วัน 3 คืนตามฤดูกาล ซึ่งต่างพาผู้โดยสารเที่ยวชมความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ พร้อมกับจุดแวะชมวิวมากมายระหว่างทาง

 

โครงสร้างของ Seven Stars in Kyushu (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

ภายในห้องพัก (เครดิตภาพt: JR Kyushu)

 

Seven Stars in Kyushu สามารถรองรับแขกได้ถึง 30 คน ภายในห้องสวีท 14 ห้อง โดยแบ่งเป็นห้องสวีท 12 ห้องและห้องดีลักซ์สวีท 2 ห้อง แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ขณะนี้รถไฟสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 26 คน ในห้องพัก 12 ห้อง โดยห้องดีลักซ์สวีททั้ง 2 ห้องอยู่ในตู้รถไฟคันที่ 7 ซึ่งเป็นตู้คันท้ายของรถไฟ ส่วนห้องสวีทจะกระจายอยู่ที่ตู้ 3-6 โดยในหนึ่งตู้มีห้องพักสามห้อง ห้องสวีทแต่ละห้องสามารถรองรับแขกได้สูงสุดสองคน ในขณะที่ห้องดีลักซ์สวีทแต่ละห้องสามารถรองรับแขกได้สูงสุดสามคน

 

ห้องพักทุกห้องมีห้องอาบน้ำและห้องสุขา โดยมีความพิเศษตรงอ่างล้างหน้าที่ไม่เหมือนใครซึ่งทำจากเครื่องเคลือบอาริตะที่มีดีไซน์แตกต่างกันในแต่ละห้อง เฟอร์นิเจอร์ในห้องพักแต่ละห้องยังใช้ไม้หลายประเภท เช่น  ไม้โอ๊ค ไม้เชอร์รี่ ไม้เมเปิ้ล ไม้โรสวูด แพร์วูด วอลนัท ควินซ์ และอื่นๆ

 

ภายในห้องดีลักซ์สวีทที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่ (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

แม้ว่าห้องพักทุกห้องจะมีหน้าต่างด้านข้างที่มองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามของคิวชูได้ แต่ห้องดีลักซ์สวีท A ซึ่งอยู่ที่ปลายสุดของรถไฟนั้นจะมีหน้าต่างทั้งสามด้าน รวมถึงหน้าต่างขนาดใหญ่ยักษ์เท่ากับผนังทั้งด้านซึ่งดูราวกับภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้ไม่มีผิด ทำให้สามารถชมเห็นทัศนียภาพของวิวด้านนอกและรางรถไฟในแบบที่ไม่มีใครเทียบได้

 

 

ด้านในเลานจ์ Blue Moon และห้องอาหาร Jupiter (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

การตกแต่งภายในรถไฟ Seven Stars in Kyushu นั้นดูงดงามตระการตาด้วยการผสมผสานการตกแต่งสไตล์ตะวันตกสมัยใหม่เข้ากับสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งโดดเด่นด้วยงานไม้อันวิจิตรตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างคือดีไซน์ของโครงตาข่ายโอคาวะคุมิโกะ (大川組子 (Okawa kumiko) ที่สลับซับซ้อน ซึ่งถูกนำมาใช้ตกแต่งผนังและเฟอร์นิเจอร์ โอคาวะ คุมิโกะเป็นงานหัตถกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจากเมืองโอคาวะ จังหวัดฟุกุโอกะ ที่ใช้เทคนิคการนำไม้บาง ๆ มาประกอบเข้าด้วยกันด้วยมือเพื่อสร้างลวดลายที่สวยงามและประณีต

 

เลานจ์ Blue Moon (ラウンジカー「ブルームーン」) ในตู้รถไฟคันที่ 1 มีเก้าอี้แบบหมุนได้และโซฟาสวยหรู เป็นห้องที่ผู้โดยสารสามารถผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีสดได้ เกาะคิวชูเป็นขุมทรัพย์ของอาหารอร่อย และที่ห้องอาหาร Jupiter (ダイニングカー「木星」) ในตู้รถไฟคันที่ 2 นี้ ผู้โดยสารจะได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศที่ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลของคิวชู

 

ผู้คนมายืนส่งรถไฟ Seven Stars in Kyushu (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

แม้ว่ารถไฟสุดหรูเหล่านี้จะมีการตกแต่งภายในที่วิจิตร อาหารเลิศรส และการต้อนรับผู้โดยสารแบบไร้ที่ติ แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจให้ผู้โดยสารหลายๆ คนมากที่สุดคือการต้อนรับอย่างอบอุ่นของคนท้องถิ่นที่รวมตัวกันอยู่รอบๆ สถานีและตามรางรถไฟขณะที่รถไฟวิ่งผ่านพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนตัวน้อยไปจนถึงอาสาสมัคร เกษตรกร และชาวประมงในท้องถิ่น ความตื่นเต้นของพวกเขาขณะโบกธงและป้ายแบนเนอร์พร้อมส่งเสียงเชียร์ด้วยความกระตือรือร้นกลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนให้กับผู้โดยสารจนทำให้ต้องยิ้มออกมา

 

ค่าโดยสารรถไฟ Seven Stars in Kyushu ในเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2022 เริ่มต้นที่ 402,000 เยนต่อคนสำหรับคอร์ส 2 วัน 1 คืน ไปจนถึง 855,000 เยนต่อคนสำหรับคอร์ส 4 วัน 3 คืน โดยอิงจากการเข้าพักเป็นคู่ในห้องสวีท ผู้ที่เดินทางคนเดียวก็สามารถใช้บริการรถไฟได้เช่นกัน

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถไฟ Seven Stars in Kyushu ในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษได้ที่นี่

 

รถไฟชมวิว

นอกจากรถไฟท่องกลางคืนสุดหรูซึ่งเป็นเหมือนกับแพ็กเกจการเดินทางที่มีห้องพักให้ผู้โดยสารนอนหลับและมีจุดแวะให้ลงไปเที่ยวเล่นแล้ว ก็ยังมีรถไฟหรูหราอีกประเภทหนึ่งที่สามารถเพลิดเพลินตามสไตล์ทริปช่วงกลางวันได้ นั่นคือรถไฟชมวิวสุดหรู รถไฟประเภทนี้มีที่นั่งที่หรูหราเพื่อความสบายยิ่งขึ้น และมีเมนูอาหารรสเลิศให้บริการอีกด้วย ตามมารู้จักกับรถไฟ SAPHIR ODORIKO ของ JR East และ 36+3 ของ JR Kyushu กันเลย

 

SAPHIR ODORIKO

บริหารโดย: JR East

รถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

รถไฟ SAPHIR ODORIKO (サフィール踊り子) เริ่มให้บริการในเดือนมีนาคมปี 2020  โดยวิ่งระหว่างโตเกียวและอิสุคิว-ชิโมดะทุกวัน รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟชมวิวแบบหรูหราที่มีที่นั่งแบบ Premium Green Car รูปแบบใหม่ของ JR East ซึ่งเป็นที่นั่งที่อยู่ระหว่างที่นั่งระดับ Green Car และ Gran Class (ฉันจะพูดถึง Gran Class เพิ่มเติมหลังจากนี้)

 

ด้านนอกรถไฟ SAPHIR ODORIKO สีน้ำเงินสวย (เครดิตภาพ: JR East)

 

SAPHIR ODORIKO มักจะถูกเรียกว่ารถไฟรีสอร์ท เป็นรถไฟดีลักซ์ที่มาเพื่อแทนที่รถไฟ Super View Odoriko ขบวนเก่า โดยรถไฟขบวนนี้จะพาผู้โดยสารเดินทางจากโตเกียวสู่คาบสมุทรอิสุเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ผ่านวิวทะเลอันน่าตื่นตาตื่นใจ

 

รถไฟ SAPHIR ODORIKO มีตัวรถสีน้ำเงินเข้มซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสีน้ำเงินไพลินของน้ำทะเลและท้องฟ้าตามฝั่งคาบสมุทรอิสุ (“saphir”ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “ไพลิน”)

 

ที่นั่งแบบ Premium Green บนรถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

รถไฟ SAPHIR ODORIKO ประกอบด้วยตู้รถไฟทั้งหมด 8 คัน ตู้รถไฟคันที่ 1 คือ Premium Green Car ที่หลายคนต่างอยากนั่งให้ได้ หน้าต่างรถไฟมีขนาดใหญ่และกว้าง พร้อมช่องให้แสงธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาได้เพื่อให้เห็นวิวได้กว้างขึ้นอีกระดับ แต่ละแถวที่นั่งจะมีเก้าอี้เดี่ยวเพียงสองที่นั่งเท่านั้น และจะอยู่ด้านข้างหันออกไปหาทะเลเพื่อความกว้างขวางและความเป็นส่วนตัว  ที่นั่งสุดสบายเหล่านี้ยังสามารถปรับให้หันหน้าไปทางหน้าต่างเพื่อให้สามารถมองเห็นวิวได้ชัดขึ้นอีกด้วย

 

ที่นั่งแบบ Premium Green Car ทั้งหมดมีที่วางขาและสามารถปรับเอนได้ด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากนี้แต่ละที่นั่งยังมีปลั๊กไฟ และมีที่เก็บสัมภาระข้างใต้ซึ่งผู้โดยสารสามารถใช้เก็บของส่วนตัวได้

 

 

ห้องส่วนตัวบนรถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

ตู้รถไฟคันที่ 2 และ 3 เป็นห้อง Green Car แบบส่วนตัวที่จุผู้โดยสารได้ 4 หรือ 6 คน ห้องส่วนตัวที่หรูหราและสะดวกสบายนี้ให้พื้นที่ที่เอื้อต่อการสังสรรค์ เหมาะมากสำหรับครอบครัวและโอกาสพิเศษ

 

ห้องทุกห้องมีหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวทะเลและช่องเปิดให้แสงธรรมชาติส่องลอดเข้ามาเพื่อให้ได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่งขึ้น ที่นั่งในห้องนี้มีขนาดใหญ่เหมือนกับโซฟาซึ่งแตกต่างจากที่นั่งทั่วไป และเมื่อรวมเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูอบอุ่นแล้วก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูหรูหรา พร้อมสำหรับการเดินทางสู่คาบสมุทรอิสุ

 

ห้องห้องอาหารบนรถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

รถไฟตู้ที่ 4 เป็นห้องอาหารพร้อมครัวแบบเปิด ที่ห้องนี้ผู้โดยสารจะได้เพลิดเพลินไปกับพาสต้าที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ หรือขนมหวานอย่างเจลาโต้และมาดเลนในขณะที่ชมวิวทิวทัศน์ ทั้งนี้ จำนวนอาหารที่เสิร์ฟนั้นมีจำนวนจำกัด และจำเป็นต้องจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ SAPHIR Pay คุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการ

 

ที่นั่งแบบ Green Car บนรถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

สุดท้ายในตู้รถไฟคันที่ 5 ถึง 8 จะเป็นที่นั่งแบบ Green Car ที่มีพื้นที่กว้างขวางและสามารถปรับเอนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายได้ ที่นั่งแต่ละที่มีปลั๊กไฟ และทุกตู้รถไฟมีราววางสัมภาระให้ผู้โดยสารวางกระเป๋า พร้อมมีหน้าต่างบานใหญ่และแสงธรรมชาติที่ให้เราชมวิวทิวทัศน์สวยๆ ได้อย่างเต็มที่

 

รถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

ค่าโดยสาร SAPHIR ODORIKO จากโตเกียวไปอิสุคิว-ชิโมดะ มีตั้งแต่ 9,110 เยนต่อคนสำหรับที่นั่ง แบบ Green Car ไปจนถึงถึง 11,430 เยนต่อคนสำหรับที่นั่งแบบ Premium Green Car ห้องส่วนตัวมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ซึ่งแบ่งตามจำนวนผู้โดยสารที่ใช้ห้องนี้

 

ข่าวดีสำหรับผู้ที่ถือตั๋วโดยสาร JR East Pass (Tohoku area), JR East Pass (Nagano, Niigata area), JR TOKYO Wide Pass หรือ JR East-South Hokkaido Rail Pass เพราะตั๋วเหล่านี้ครอบคลุมค่าโดยสารทั่วไปของรถไฟ SAPHIR ODORIKO ผู้ใช้ตั๋วเพียงแค่ชำระค่าที่นั่งแบบ Green Car เพิ่ม 5,150 เยน หรือ Premium Green Car เพิ่ม 7,470 เยน เพื่อนั่งรถไฟจากโตเกียวไปยังอิสุคิว-ชิโมดะได้

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SAPHIR ODORIKO ในอีกบทความของฉันได้ที่นี่หรือในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษได้ที่นี่

 

36+3

บริหารโดย: JR Kyushu

รถไฟ 36+3 (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

รถไฟท่องเที่ยวสุดหรูขบวนต่อไปที่เราจะแนะนำคือ 36+3 (36ぷらす3) รถไฟ Green Car ทั้งขบวน ซึ่งเป็นรถไฟรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2020 และเพิ่งฉลองครบรอบ 1 ปีในปีนี้ ออกแบบโดยเออิจิ มิโตโอกะ ผู้ออกแบบรถไฟ Seven Stars in Kyushu และรถไฟ D&S ของ JR Kyushu เกือบทุกขบวน

 

“36” ในชื่อรถไฟมาจากการที่คิวชูเป็นเกาะที่ใหญ่อันดับ 36 ของโลก และ “+3” สื่อถึงผู้โดยสาร ชุมชนท้องถิ่น และ JR Kyushu กลุ่มคนสามกลุ่มที่มีส่วนร่วมในการทำให้รถไฟนี้ประสบความสำเร็จ และยังเป็นสื่อถึงความประหลาดใจ ความประทับใจ และความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังว่าผู้โดยสารจะได้รับจากการนั่งรถไฟขบวนนี้ สุดท้าย 36+3=39 ที่ออกเสียงว่า “ซังคิว” ในภาษาญี่ปุ่นนั้นคล้ายกับการออกเสียงคำว่า  “thank you” ซึ่งแสดงถึงความขอบคุณนั่นเอง

 

รถไฟ 36+3 วิ่งให้บริการทุกวันตั้งแต่วันพฤหัสบดีถึงวันจันทร์ โดยจะวิ่งบนเส้นทางที่แตกต่างกันในพื้นที่ต่างๆ ของคิวชูในแต่ละวัน

  • วันพฤหัสบดี: ฮากาตะ - คาโกชิมะ จูโอ (Hakata - Kagoshima-Chuo)
  • วันศุกร์: คาโกชิมะ จูโอ - มิยาซากิ (Kagoshima-Chuo - Miyazaki )
  • วันเสาร์: มิยาซากิ - โออิตะ (Miyazaki - Oita )
  • วันอาทิตย์: โออิตะ - ฮากาตะ (Oita - Hakata)
  • วันจันทร์: ฮากาตะ - นางาซากิ (Hakata - Nagasaki) ในช่วงเช้า และ นางาซากิ - ฮากาตะ (Nagasaki - Hakata) ในช่วงบ่าย

 

ห้องโดยสารแบบ Green ในรถไฟตู้ที่ 1, 2 และ 3 บนรถไฟ 36+3. (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

เช่นเดียวกับ Seven Stars in Kyushu การตกแต่งภายในตู้รถไฟทั้ง 6 คันเป็นการผสมผสานสไตล์ตะวันตกสมัยใหม่เข้ากับสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยมีจุดเด่น เช่น งานออกแบบโครงตาข่ายโอคาวะ คุมิโกะ ที่ประณีต และหน้าต่างฉากกั้นโชจิ เป็นต้น

 

ตู้รถไฟคันที่ 1 ถึง 3 เป็นห้องแบบ Green ที่มีหลายขนาด ซึ่งแต่ละห้องมีการออกแบบและตกแต่งด้วยไม้และผ้าที่มีสไตล์ ผู้โดยสารที่จะใช้ห้องเหล่านี้ได้จะต้องซื้อแพลนมื้ออาหารซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละคอร์ส แต่ละเมนูใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและได้รับการรังสรรค์โดยร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ที่รถไฟวิ่งผ่าน

 

ห้องโดยสารทั้ง  4 ห้องในตู้รถไฟคันที่ 1 เป็นพื้นเสื่อทาทามิ  และจุผู้โดยสารได้ห้องละ 3-4 คน ส่วนคันที่ 2 เป็นพื้นไม้ 3 ห้องโดยมีที่นั่งห้องละ 3-6 ที่ และคันที่ 3 มี 6 ห้อง มีที่นั่งห้องละ 1-2 ที่

 

ตู้รถไฟคันที่ 4 เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ (เครดิต: JR Kyushu)

 

แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อแพลนมื้ออาหาร แต่ผู้โดยสารก็สามารถหาอะไรทานได้ที่เคาน์เตอร์บาร์ในตู้รถไฟคันที่ 3 ซึ่งจำหน่ายทั้งเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และของที่ระลึกท้องถิ่น

 

รถไฟตู้ที่ 4 เป็นห้องอเนกประสงค์ที่ผู้โดยสารสามารถเลือกที่นั่งเพื่อเพลิดเพลินกับทัศนียภาพนอกหน้าต่างได้อย่างอิสระ และพิเศษสำหรับผู้โดยสารรถไฟ 36+3 จะได้สนุกกับกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นโดยเฉพาะในตู้ที่ 4 นี้ด้วย

  • วันพฤหัสบดี: กิจกรรมชิมชา (มีค่าใช้จ่าย)
  • วันศุกร์: กิจกรรมชิมน้ำส้มสายชูดำ (ฟรี)
  • วันเสาร์: กิจกรรมทำเหล้าบ๊วย/น้ำเชื่อมบ๊วย (มีค่าใช้จ่าย)
  • วันอาทิตย์: กิจกรรมชิมขนมคอมเปอิโตะ (ฟรี)
  • ทุกเส้นทาง: กิจกรรมทำงานฝีมือจากกระดาษวาชิ และกิจกรรมทำสบู่สำหรับเด็ก (ฟรี)

 

นั่งแบบ Green Car ในตู้รถไฟคันที่ 5 และ 6 (เครดิตภาพ: JR Kyushu)

 

สุดท้าย ตู้รถไฟคันที่ 5 และ 6 เป็นตู้ที่มีที่นั่ง Green Car ซึ่งมีที่นั่งแบบ 1+2 ที่ เบาะที่นั่ง Green Car ตกแต่งด้วยไม้ที่สวยงามและลวดลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ และมีลวดลายตาข่าย โอคาวะ คุมิโกะ ที่ช่วยขับให้บานหน้าต่างโชจิดูโดดเด่นเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของรถไฟ ทุกที่นั่งมีโต๊ะแบบพับเก็บได้และช่องเก็บของ และตู้รถไฟคันที่ 6 เป็นพื้นปูเสื่อทาทามิ ทำให้ผู้โดยสารสามารถถอดรองเท้าและเพลิดเพลินไปกับการเดินทางที่แสนสบายได้

 

ค่าโดยสารรถไฟ 36+3 จากฮากาตะไปนางาซากิ (เส้นทางเช้าวันจันทร์) มีราคาตั้งแต่ 8,570 เยนต่อคน (ไม่รวมอาหาร) / 13,500 เยนต่อคน (พร้อมอาหาร) สำหรับที่นั่ง Green Car ไปจนถึง 18,500 เยนต่อคนสำหรับที่นั่งห้องส่วนตัว (พร้อมอาหาร)

 

ข่าวดีสำหรับผู้ที่ถือตั๋ว All Kyushu Rail Pass เพราะตั๋วนี้ครอบคลุมค่าโดยสารทั่วไปของรถไฟ 36+3 เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผู้ถือบัตรจึงสามารถนั่งรถตู้ที่ 5 และ 6 (ไม่มีอาหาร) ได้ และต้องจ่ายเพียงค่าธรรมเนียมสำหรับ Green Car เพิ่มเติมเท่านั้น อ่านรายละเอียดได้ที่นี่

 

นอกจากรถไฟ 36+3 แล้ว JR Kyushu ยังมีรถไฟชมวิวสุดหรูอีกขบวนหนึ่งคือ ARU RESSHA (或る列車) คุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษได้ที่นี่

 

⑥ Gran Class

ให้บริการบน: รถไฟซีรีส์ E5/H5 บน Tohoku Shinkansen และ Hokkaido Shinkansen, รถไฟซีรีส์ E7/W7 บนHokuriku Shinkansen, รถไฟซีรีส์ E7 บน Joetsu Shinkansen

 

ที่นั่ง Gran Class บนรถไฟ Tohoku Shinkansen (เครดิตภาพ: JR East)

 

พวกเราหลายคนอาจคุ้นเคยกับที่นั่งแบบธรรมดาและที่นั่ง Green Car บนชินกันเซ็น (新幹線) แต่รู้ไหมว่ามีที่นั่งระดับพรีเมียมอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Gran Class ด้วย โดย Gran Class (グランクラス) เป็นประเภทของที่นั่งระดับสูงสุดบนรถไฟหัวกระสุนของ Tohoku Shinkansen, Hokkaido Shinkansen และ Joetsu Shinkansen โดยมีที่นั่งแบบ Ultra-luxe ในพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งรถไฟแต่ละขบวนจะมีที่นั่ง Gran Class เพียง 18 ที่นั่งเท่านั้น

 

สิ่งอำนวยความสะดวกใน Gran Class (เครดิตภาพ: JR East)

 

“Gran” เป็นคำภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “ใหญ่” ที่นั่ง Gran Class มีพื้นที่กว้างขวาง มาพร้อมความสะดวกสบายขั้นสุดด้วยการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์อย่างสมดุลสำหรับผู้โดยสาร เบาะนั่งสามารถปรับเอนได้ด้วยระบบไฟฟ้าทั้งตรงพนักพิง เบาะนั่ง และที่พักขา รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พนักพิงศีรษะที่นุ่มสบาย ไฟอ่านหนังสือ ปลั๊กไฟ โต๊ะรับประทานอาหาร ถาดค็อกเทล ฉากกั้นห้องส่วนตัว ไปจนถึงปุ่มเรียกพนักงานเสิร์ฟ

 

ชั้นวางสัมภาระเหนือศีรษะของ Gran Class สามารถปิดได้เหมือนกับของเครื่องบิน  และมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รองเท้าแตะ ผ้าปิดตา ที่ช้อนรองเท้า และผ้าห่มสำหรับผู้โดยสาร Gran Class เพื่อความสะดวกสบายสูงสุด

 

พนักงานบน Gran Class กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่ม (เครดิตภาพ: JR East)

 

พนักงาน Gran Class  จะคอยให้บริการต้อนรับผู้โดยสาร Gran Class ทั้ง 18 ท่านอย่างอบอุ่น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอเพื่อการโดยสารรถไฟที่สะดวกสบาย เมื่อรถไฟออกจากสถานี พนักงานจะนำผ้าเช็ดมือและเมนูอาหารมาให้ผู้โดยสาร

 

อาหารและเครื่องดื่มใน Gran Class (เครดิตภาพ: JR East)

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Gran Class แตกต่างจากที่นั่งแบบอื่นคือบริการอาหารว่างและเครื่องดื่ม มีการเสิร์ฟกล่องอาหารกลางวันเบนโตะสุดพิเศษที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นระดับพรีเมียมจากที่ต่างๆ ตามเส้นทางรถไฟให้ผู้โดยสาร Gran Class อาหารในเบนโตะจะต่างกันไปในแต่ละเส้นทาง (Tohoku/Hokkaido Shinkansen และ Hokuriku Shinkansen) และทิศทางที่รถไฟวิ่ง (ขาออกจากโตเกียวหรือขาเข้าไปยังโตเกียว)

 

นอกจากเบนโตะแล้ว ยังมีเค้กปอนด์ แครกเกอร์ และเครื่องดื่มให้บริการอีกด้วย ผู้โดยสารสามารถเลือกเครื่องดื่มได้มากกว่า 10 รายการ ซึ่งรวมถึงชา กาแฟ น้ำแอปเปิ้ล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นานาชนิด

หมายเหตุ: งดให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19

 

ทางเข้า Gran Class และ ที่นั่งแบบปรับเอนได้ (เครดิตภาพ: JR East)

Gran Class (ไม่มีบริการอาหารว่างและเครื่องดื่ม)

รถไฟ E5/H5 ทุกขบวน และ E7/W7 เกือบทุกขบวนมีที่นั่งแบบ Gran Class แต่รถไฟที่วิ่งในเส้นทางระยะสั้นจะไม่มีบริการอาหารว่างและเครื่องดื่ม รถไฟที่วิ่งในเส้นทางระยะสั้นได้แก่

Tohoku Shinkansen และ Hokkaido Shinkansen

  • รถไฟ Nasuno, Hayate และ Yamabiko ทั้งหมด
  • รถไฟ Hayabusa ที่วิ่งระหว่างโตเกียวและเซ็นได
  • รถไฟ Hayabusa ที่วิ่งไป-กลับจากชิน-ฮาโกดาเดะ-โฮคุโตะทั้งหมดที่ไม่ได้เริ่มต้นหรือสิ้นสุดที่โตเกียว

Hokuriku Shinkansen

  • รถไฟ Asama ทั้งหมด
  • รถไฟ Hakutaka ทั้งหมดที่ให้บริการระหว่างนากาโนะ-คานาซาว่า

Joetsu Shinkansen

  • รถไฟ Toki และ Tanizawa ทั้งหมดที่ใช้รถไฟ E7

หมายเหตุ: รถไฟ Tsurugi ทั้งหมดที่วิ่งระหว่างโทยามะและคานาซาวะไม่มีที่นั่งแบบ Gran Class แม้ว่าจะเป็นรถไฟ E7/W7 ก็ตาม

ราคาตั๋วรถไฟ Gran Class ประกอบด้วยสามส่วนคือ

  • ① ค่าโดยสารทั่วไป
  • ② ค่ารถไฟด่วนพิเศษ
  • ③ ค่า Gran Class

หากคุณเดินทางโดยใช้ตั๋ว Japan Rail Pass หรือ JR East Rail Pass ตั๋วจะครอบคลุมเฉพาะข้อ ① จึงจำเป็นต้องจ่ายเพิ่มเติมในส่วนของข้อ ② และ  ③ ด้วยหากคุณต้องการนั่ง Gran Class

 

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Gran Class ได้ในเว็บไซต์ภาษาอังกฤษที่นี่

 

ส่งท้าย

รถไฟหรูหรานั้นมีทั้งแบบท่องกลางคืน แบบชมวิว ไปจนถึงรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง ซึ่งล้วนแต่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่น่าสนุกที่พวกเราหลายคนใฝ่ฝันถึง รถไฟเหล่านี้จะมอบประสบการณ์การเดินทางอันล้ำค่าและน่าจดจำให้แก่ทุกคนได้อย่างแน่นอน ถ้ามีโอกาสมาลองขึ้นรถไฟสักขบวนหนึ่งในนี้ดูไหมคะ?

 

เครดิตภาพส่วนหัว: JR East, ©Takashi Karaki, JR Kyushu
Translated by ANNGLE

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article:
TSC-Banner